Florence- Foods

เรื่องกินเรื่องใหญ่

นอกจากพิซซ่าแล้ว ทีโบนสเต๊ก น่าจะเป็นอีกหนึ่งเมนูที่เป็นหน้าเป็นตาของฟลอเรนซ์นะคะ ร้านอาหารหลายร้านเลย จะมีตู้แขวนเนื้อโชว์หรา เนื้อชิ้นใหญ่มากตั้งแต่ 500 กรัมขึ้นไป ดังนั้นหลายร้านจะมีแพ็คเกจสำหรับเสริฟสองที่ขึ้นไปค่ะ เชฟจะเลือกเนื้อจากตู้โชว์ แล้วนำเนื้อมาให้ลูกค้าดูที่โต๊ะก่อนนำไปประกอบอาหาร (เช่นเดียวกับการเสริฟไวน์เลย)

ร้านขายเนื้อกลางเมืองในถนน  Via Dei Neri ข้าง ๆ หอศิลป์พิพิธภัณฑ์ Uffizi / Palazzo Vecchio เราไปกินกลางวันสองครั้ง ชื่อ Antico Salumificio Artigiano เป็นร้านเขียงเนื้อ (Butcher) ขายทั้งเนื้อ ผลิตภัณฑ์จากเนื้อรวมอาหารกลางวัน จำพวกแซนวิสด้วย  ซอยนี้แหละที่มีร้าน เหล่าสาวกโซเซียลมีเดียมาต่อคิวยาวเป็นหางว่าว เป็นชั่วโมงๆ เพื่อกินแซนวิสและไอศรีม

คนอิตาเลี่ยนจริงจังกับพิซซ่ามาก ขนาดซุ้มเล็ก ๆ ในสวนสาธาณะยังติดตั้งเตาอบพิซซ่า และสองร้านที่ฉันเข้าไปใช้บริการก็เป็นเตาฟืนด้วย ร้านที่อยากแนะนำ อยู่นอกเขตท่องเที่ยวลูกค้าที่เต็มร้านทุกวันคือคนท้องถิ่นค่ะ เดินทางสะดวกด้วยรถรางลงที่สถานี Poggetto หรือจะลงสถานีมหาวิทยาลัย Morgaggni Universita ค่ะ

ร้านแรก L’ angolo del Gusto (เรามากันห้าครั้ง) เมนูภาษาอิตาเลี่ยนล้วน ๆ สามีพยายามใช้แอพฯ แปล ส่วนฉันก็พยายามอ่านและพอจะเดาออกจากรากศัพท์ พนักงานเสริฟหลายคนและพ่อครัวพูดอังกฤษได้บ้าง พอเห็นเรามะงุ่มมะงาหรากับเมนูก็เข้ามาแนะนำ อัธยาศัยดี บริการเยี่ยม ราคาเบากระเป๋าค่ะ ไม่รู้ทำไมตลอดทั้งสัปดาห์อาหารเย็นเรากินเป็นคอร์ส เพราะอยกาลิ้มลองอาหารพื้นถิ่น จากพ่อครัวอิตาเลี่ยนแท้ เมนูแรก Antipasti ที่อยากแนะนำคือ – Antipasto misto Toscano  คือจานเย็นแฮมไสล์รวมมิตร, Cocoli จานร้อนเป็นชีสอบ  รสชาติเข้มข้นและกลิ่นแรงมาก

ถัดมาเป็นจานหลัก Primi Paitti / Secondi di Terra แน่นอนล่ะว่าคือพิซซ่า ของโปรดสามีที่แต่ละวันเฮียสั่งต่างไป ของฉันเมนูแนะนำคือ ซีฟู้ดซุปแป้งทอด คือทะเลสดและอร่อยสุด ๆ ไม่ต้องจิ้มอะไรเลยนะ หรือเมนู Ravioli หอมสมุนไพรสด ๆ ที่สอดไส้มา วันพุธคือวันที่ทะเลสดที่สุด (เชพแนะนำมาค่ะ)

เมนูตบท้ายเป็นของหวาน Tiramisu, Pannacotta, Sorbetto, ตบท้ายด้วย Limoncello และเอสเปรสโซ่ เพิ่มเติมเรื่องซอร์เบท์ เรียกง่าย ๆ ว่าไอศรีมที่ไม่ไส่ครีม ที่ฉันเคยทำและเคยกินคือเป็นก้อนคริสตัสน้ำแข็ง แต่ที่ร้าน Angolo จะออกเนื้อทรายกึ่ง ๆ ละลายใช้ช้อนซดหรือยกแก้วจิบ ส่วนอีกร้านที่เมืองปีซ่าเป็นครีมฟูเหมือนไข่ขาวตีฟูตั้งยอดนุ่มลิ้น ถ้าไม่เปรี้ยวจะนึกว่าเป็นไอครีม

ร้านที่สอง Da Tito ใกล้ ๆ กับมาหาวิยาลัยลงที่สถานีได้ พนักงานเสิฟหญิงคนเดียว หน้าตาไม่ค่อยรับแขก แขนขาลายพร้อยด้วย Tattoo สวยเก๋ (ที่ร้านไม่มียูนิฟอร์ม เธอใส่เสื้อยึด กางเกงขาสั้นและสวมผ้ากันเปื้อนของร้าน) แต่เธอบริการดีเป็นมิตรค่ะ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ และเมนูเป็นภาษาอิตาเลี่ยน ต้องงมกันอีกตามเคย มากันสองครั้งสั้งพิซซ่าอร่อยดีค่ะ และสปาเก็ตตี้ซีฟู้ด คือสุดยอดสุดอร่อย กุ้งสด หอย หมึก ปูสด(แกะกินไม่เป็น ฮา ๆๆ)

House Wine ทั้งสองร้านรสชาติดีค่ะ น้ำเปล่าเย็น ๆ (มีแบบอัดแก๊สและแบบธรรมชาติ) ร้านแรกเก็บบิลที่โต๊ะ ร้านที่สองต้องไปจ่ายที่แคชเชียร์ก่อนออกจากร้าน อ่านเจอในไกด์บุ๊คว่าที่อิตาลี่ไม่จำเป็นต้องให้ทิป เพราะในบิลมีราการชาร์ตเพิ่มที่แรกว่า  Servizio หรือ Coperto ที่ไทยน่าจะเรียกว่า Service Charge  10% แต่ที่ฟลอเรนซ์คิด 1-2 ยูโรต่อคนค่ะ

ที่อิตาลีจ่ายบิลรวมเป็นบิลเดียว หนึ่งคนเป็นคนจ่ายแล้วไปหารกันเอาทีหลังและให้ใบเสร็จรับเงินทุกครั้ง ต่างจากเยอรมันที่แยกกันจ่ายเป็นบิล ๆ สิ่งหนึ่งที่สะดุดใจตั้งแต่แรกคือ ไม่ว่าจะเข้าร้านใหนทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านไอครีม หอศิลป์ ฯลฯ ผู้ให้บริการหันหน้ามาพูดกับฉันก่อนเสมอ และหากต้องมีการเจรจาตัดสินใจอะไร จะหันหน้ามาที่ฉันเสมอเช่นกันทั้ง ๆ (รู้สึกตัวพอง) ต่างจากเยอรมนีที่เอาแต่ถามผู้ชาย

Florence

ฟลอเรนซ์ นอกจากความไพเราะของชื่อเมืองแล้ว ฉันก็นึกไม่ออกว่าที่นี่มีดีอะไร แต่รู้สึกได้ว่าอยากไปเยือนสักครั้งในชีวิต และโอกาศก็มาถึงหลังจากทั่วโลกหยุดกัน 2 ปีครึ่ง ฟลอเรนซ์อุณหภูมิสูง แดดจัดกว่ามิวนิค เป็นเดือนพักร้อนของสถาบันการศึกษา และหริษัทห้างร้านหลายแห่งด้วย

เดินทางจากมิวนิค-เยอรมนี เราพิจารณาสองทางเลือก คือนั่งรถไฟสายตรง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง หรือนั่งเครื่องบินใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

เราโดยสารด้วยเครื่องบินตรงจากมิวนิค ถึงฟลอเรนซ์ ด้วย  Air Dolomiti ราคาไม่ได้ต่างกันมาก

ทิวทัศน์ของเทือกเขาแอลป์สวยมาก เราเดินทางกลางเดือนสิงหาคม พอเข้าเขตอิตาลี ดินแดนทัสคานี (Tuscany) แห้งแล้งเป็นสีน้ำตาลเป็นส่วนมาก พอเข้าเขตฟลอเรนซ์จากมุมสูง แลดูทันสมัยมาก พอเครื่องแตะรันเวย์ต้องอุทานเบา ๆ นึกว่าร่อนลงสนามบินเชียงใหม่ค่ะ

จากสนามบินฟลอเรนซ์เข้าเมืองสะดวกสบายด้วยรถราง Tram ซื้อตั๋วเองจากตู้อัตโนมัติ 1.50 ออยโร ใช้ขึ้น-ลงร่วมกับรสบัส กี่เที่ยวก็ได้ภายใน 90 นาที ขึ้นมาแล้วก็สแตมป์หรือปั้มที่ตู้หน้าประตูเอง ตู้จำหน่ายตั๋วเมนู 4 ภาษาคือ อิตาเลี่ยน อังกฤษ ฝรั่งเศษ และสเปนค่ะ รับธนบัตและเหรียญออยโร และบัตรเครดิต/เดบิต ที่เมนูระบุไว้ 

ขนส่งสาธารณะนี้ใช้ระบบความซื่อสัตย์ ไว้เนื้อเชื่อใจล้วน ๆ มีป้ายเตือนเล็ก ๆ ค่าปรับ 250 ออยโร จากที่สังเกตตลอดทั้ง สัปดาห์ที่อยู่ฟลอเรนซ์ แทบทุกคนพอขั้นรถจะปั็มตั๋วกันทั้งนั้นค่ะ

รู้สึกว่ารถรางที่นี่เป็นมิตรกับผู้โดยสารไม่น้อยคือ จอดนานและมีเสียงสัญญาณด้วย (ไม่รีบปิดประตู ปู๊ดป๊าดอย่างมิวนิค)

เราพักโรงแรมกึ่งอพาร์ม้นท์ ชื่อ Alderotti Home นอกจากค่าห้องเช่าเราต้องจ่ายค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวแก่เมือง( ที่คนไทยบางคนเรียก “ค่าเหยียบแผ่นดิน” คนละ 4 ออยโร ต่อวันด้วย) ห้องทั้งใหม่ สะอาด แถมมีตู้เย็น ถ้วยชาม หม้อ เตา แก้วไวน์ เป็นเพนทรีเล็ก ๆ ทำกับข้าวเองได้ด้วย

 

ถ้ำแนวดิ่ง Vertical Cave, Laichingen Tiefenhöhle, Germany

ไม่ว่าจะชอบประวัติศาตร์หรือชอบผจญภัย การมาเยี่ยมชมถ้ำที่มากมายหลายแห่งหนในเยอรมันนี เป็นเรื่องที่อยากแนะนำค่ะ ที่ Tiefenhöhle at Laichingen ใกล้เมืองอูล์มห่างจากมิวนิกขับรถแค่ชั่วโมงเดียว

ความพิเศษของถ้ำเทียเฟ่นฮูเล่ คือความดิ่งชันที่เราต้องเกาะกะไดเย็นๆเปียกๆทางแคบๆลงไปกว่า 55 เมตร อากสเย็นๆชื้นๆประมาณ 8องศา เข่าที่สั่นจึงไม่กล้าฟันธงว่าอาการหนาวหรืออาการเข่าอ่อน 55..  ถ้ำส่วนมากเป็นทางราบเป็นท้องถ้ำอย่างหลายๆถ้ำที่เห็นที่เมืองไทย (แต่เพิ่งนึกได้ถ้ำแม่ออนที่เชียงใหม่ก็เป็นถ้ำแนวดิ่งที่ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ทำบรรไดทางเดินกว้างเป็นเมตรให้เดินไป )แต่ถ้ำที่เยอรมันนีเขาอนุรักษ์ให้เป็นธรรมชาติและสถานที่เพื่อเรียนรู้ให้แก่เยาวชนและผู้สนใจ ดังนั้น ความปลอดภัยมาก่อนเพื่อการท่องเที่ยวแน่นอน สิ่งอำนวยความสะดวก มีถุงหน้าแข้งป้องการการกระแทกกับบันไดเหล็ก ไฟส่องสว่าง บรรได ราวจับที่มั่นคงแข็งแรงและตู้ข้อมูลอัตโนมัติให้โดยไม่ต้องใช้ไกด์นำทาง สี่ภาษาแน่ะ

บริเวณนี้เคยเป็นเขตขุดเจาะทราย การค้นพบเพราะความบังเอิญว่าทรายหายไปเป็นหลุมยุบ ชาวบ้านจึงขุดเจาะลึกลงๆปเรื่อยๆเป็นทางยาวและดิ่งลึกๆ  บางพื้นที่ยังเละเหมือนตม ผนังถ้ำเมื่อลูบดูมีทรายละเอียดนุ่มมือ บางแห่งเป็นหินปูนไหลและย้อยสวยงาม  ปัจจุบันอนุญาติให้ลงได้แค่ 55 เมตรเท่านั้น และไม่มีขุดเจาะทรายอีกแล้ว ด้านบนสร้างอาคารครอบ ประกอบด้วยพิพิธพัณฑ์ คาเฟ่บริการและบริหารของสมาชิกในชุมชนและคนที่รักหลงไหลการค้นพบถ้ำโดยเฉพาะ

สิ่งที่ฉันประทับใจมากๆคือพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งอดีตและปัจจุบันที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าการก่อเกิดถ้ำ หิน ดิน ทราย ป่าไม้ สัตว์ป่า แมลงและผู้คนให้ความรู้ทั้งเยาวชนด้วยระบบมัลติมิเดีย 

ด้านนอกอาคารยังเป็นสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ พื้นที่สาธารณะ ป่าไม้ให้มาทัศนะศึกษาที่ครบครันเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับพาเด็กๆมานะคะ คาเฟ่ขนมเค้กอร่อย หรือเตรียมปิกนิกมาเองยังได้ค่ะ

Kloster Blaubeuren โบสถ์

เป็นทั้งโรงเรียนสอนศาสนาและโบสถ์ อายุเก่าแก่และสวยงามมากๆ ถัดจากน้ำพุเย็นค่ะ มีค่าเข้าชมคนละ3 ออยโร สถปัตยกรรมโกทิก คานโค้งสูงสวยงามด้วยภาพเขียนสี และแท่นบูชาไม้แกะสลัก ด้านนอกเป็นสวนครัวเล็กๆ ฉันชอบแสงส่องเข้าผ่านโค้งประตูหน้าต่างมากๆ คิดว่ามาถ่ายรูปแบบพอร์ตเทรดจะสวยมาก บริเวณรอบๆโบสถ์มีอาคารเก่าแก่ที่สร้างในสมัยใกล้เคียงหลายหลัง กันมีจุดเด่นคือไม่ใช้ตะปูและโครงสร้างเป็นไม้ เราแวะเย็นแล้วพิพิภัณฑ์ปิด เลยได้เดินรอบสนามหญ้ารอบรูปปั้นน้ำพุเท่านั้น

Blautopf, Blaubeuren น้ำพุเย็นเบลาโทปฟ์

ห่างจากเมืองมิวนิกออกมาทาง เมืองอูล์มด้วยมอเตอร์เวย์ การเช่ารถยนต์ขับเองอาจจะต้องทำความคุ้นเคยเรื่องจราจรสำหรับคนไทยที่ขับรถฝั่งขวามือนิดหนึ่งค่ะเลนซ้ายรถเร็วขวาขับปรกติ “น้าพุเย็นที่เมือง เบลาบอยเรน เมืองเล็กๆที่มีลำธารสวยไสเขียวขจีพอๆกับสนามหญ้า มานั่งจิบกาแฟดูเป็ดเล่นน้ำหรือปูเสื่อปิกนิกที่สนามหญ้าสวนสาธารณะ หรือเดินชมเมืองที่มีอาคารเก่าแก่สวยงาม สัมผัสความเป็นท้องถิ่นและเงียบสงบน่าแวะมานะคะ 

น้ำพุฟ้าเทอร์คอย รอผู้คนมายืนถ่ายรูปจะเดินรอบหรือมีทางเดินตามไหล่เขาเล็กๆร่มรื่น ร้านขายของทีละรึก พิพิธภัณฑ์เล็กๆเกี่ยวกับกังหันน้ำ คทเฟ่จิบกาแฟแบบโรแมนติก และช่วงหน้าร้อนมีงานดนตรีตอนกลางคืนด้วย

Viktaulienplatz 2, Munich

หากจะเดินเล่นในตัวเมืองที่เป็นศูนย์กลางแล้ว เดินได้ทั้งวันอยากแนะนำให้มาที่ จัตตุรัสวิทัวเลียนปรัสท์ ไปมาสะดวกด้วยรถไฟใต้ดินสถานีโผล่มาหน้าหอหอคอยค่ะหากโชคดีได้ดูตุ๊าตาเต้นระบำ บริเวณเดียวกันมีห้างสรรพสินค้า มีโบสถ์คาทอลิกเซ้นท์ ปีเตอร์ที่สามารถขึ้นชมวิว 360 องศา ค่าปีนหอคอยด้านหลังโบสถ์บุคคลทั่วไป 3 ออยโรค่ะ ( ภายในโบสถ์ฟรี หากไม่มีพิธีสามารถเข้าชมและเดินรอบๆภายในโบสถ์ได้ค่ะ) พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตา ตลาดสดประจำเมืองวิกทัวร์ขายผักผลไม้ อาหาร เสื้อผ้าและอื่นๆมากมาย มีสวนเบียร์ราคาสูงหน่อยตามปรกติเมืองท่องเที่ยวแต่นาลองใช้บริการค่ะ ร้านค้าสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ดีค่ะ และมีโบสถ์บริเวณเดียวกันที่โปรดของฉัน เพราะมีงานแสดงศิลปะติดตั้งจัดแสดงหมุนเวียนตลอดปี ในบางเดือนมีแสดงดนตรีการกุศลด้วย

จัตตุรัสมาเรียฮิล์ฟ งานเครื่องปั้นดินเผา Mariahilfplatz, Munich

Mariahilfkirche

ออกเสียงใกล้เคียงมาเรียนพลัทซ์ แน่อยู่แล้วว่าคนล่ะที่จตุรัสมาเรียฮิล์ฟ ตั้งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำอิซาที่ใหลผ่านใจกลางเมืองมิวนิก มีโบสถ์และหอระฆังสไตล์ นีโอ-กอทิกสูงเด่นเป็นสง่า โบสถ์โดนระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเสียหายไปกว่าครึ่ง ตัวหอระฆังยังคงอยู่และเห็นได้ชัดจากอิฐแดงๆส่วนตัวโบสถ์ต้องซ่อมแซมด้วยปูนเปือยและกระจกใสแทนกระจกสีสเตนกลาสแลดูใหม่มากจากพื้นถึงเพดานเลย

Carillon

ที่โบสถ์มีสิ่งล้ำค่าเป็นหน้าเป็นตานั่นคือ Carillon ระฆังโบสถ์ใหญ่ เสียงกังวาลและสวยงามมาก โบสถ์มีไกด์อาสาสมัครพาขึ้นชมการบรรเลง คาริลอน บรรไดวนกว่า 40 เมตร มีสามรอบ บ่าย 3,4และ5 โมงเย็นรอบละ 12 คนเท่านั้น ขึ้นไปพูดคุยกับนักบรรเลงและลองบรรเลงเองด้วย กลับลงมาก็บริจาคเป็นทุนสร้างและซ่อมแชมด้วยค่ะ ไกด์เล่าว่า คาริลอนปัจจุบันอายุ 60 ปีแล้วและเป็นความภาคภมิใจของโบสถ์ขนาดมาเรียนพลัทซ์ต้องชิดซ้าย

Corillonist

งานแฟร์ประจำปี Auer Dult ของที่นี่ยังเป็นหน้าเป็นตาจัดทุกฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อนและใบใม้ร่วง คราวล่ะหนึ่งสัปห์ดา ในงานมีเครื่องเล่นอย่างงานวัดที่เมืองไทย มีชิงช้าสวรรค์ เครื่องสวิง ยิงปืนโยนกระป่องแลกตุ๊กตา น่าสนุกมากสำหรับทุกเพศวัยในครอบครัว และสวนของขายเซรามิกและงานหัตกรรมจากผู้ผลิตโดยตรงและของเก่าราคาแพง โซนของอาหาร (ฉันชอบการมัดจำขวดและภาชนะ นำกลับมาคืนเจ้าของร้าน ผู้ซื้อเก็บกวาดสำหรับลูกค้าคนอื่นๆ ลดขยะไปในตัวด้วย)แต่ราคาค่อนข้างสูง และโซนสุดท้ายขายของทันสมัยของใช้ในครัวเรือราคาถูกคุณภาพดี

Auer Dult Markt

Neptune Fountain at Alten Botanichen Garten, Munich

Neptune Fountain

เป็นสวนสาธารณะเล็กๆกลางเมืองใกล้สถานี Karlplatz ด้านหน้าเป็นลานน้ำพุ มีรูปปั้นพุเทพเจ้าเนฟจูนตั้งเด่นเป็นสง่า รอบๆเป็นแปลงดอกไม้สวยสดตลอดปี ด้านหลังเป็นพาวิเลี่ยนเล็กๆแสดงงานศิลปะ เข้าชมฟรี รอบลานน้ำพุมีม้านั่งพัก สวนไม้ยืนต้นสูงฉลูด เราเดินผ่านหลายครั้งพยายามเดินเลี่ยงและใช้ถนนแทน ไม่เดินลัดตัดผ่านสวนเนื่องจากรกครื้มแล้ว รู้สึกบรรยากาศแปลกๆ มีเด็กหนุ่มตัวผอมๆหน้าตาแขกๆเหมือนชนอพยพป้วนเปี้ยนแถวนั้นเยอะมาก ก็ไม่ถึงกลับน่ากลัวเพราะมีคนสัญจรไปมาขวักไขว่ไม่น้อย ฉันชอบเมืองใหญ่อย่างมิวนิกที่ผังเมืองมีพื้นที่สีเขียว พื้นที่สาธารณะให้นั่งพักและทำกิจกรรม นักท่องเที่ยวอย่างฉันไม่มีความจำเป็นต้องเดินเข้าคาเฟ่ทุกครั้งที่อยากนั่งพัก หลายครั้งที่ฉันพกน้ำดื่มและทำแซนวิชติดกระเป่ามานั่งลอยชายและกินข้าวในสวนธารณะอย่างนี้  อาคารเล็กจากมุมนี้เป็นหอแสดงงานศิลปะ หมุนเวียนทุกสามเดือน เข้าชมฟรีค่ะ

ตลาดเปิดท้ายขายของมือสอง Flohmarkt Daglfing, Munich

เสน่ห์ของตลาดเปิดท้ายขายของ ไม่ว่าจะเปลี่ยนแล้วกี่มือไม่สำคัญ ที่ฉันชอบคือบรรยากาศและความตื่นเต้นที่เจออะไรๆที่แบบ เตะตาแล้วปล่อยผ่านไปไม่ได้ทั้งราคาก็แฟร์ สำหรับคนซื้อและคนขาย ของบางชิ้นยังใหม่สะอาดปล่อยตลาดเพราะเก็บไว้แล้วรกบ้าน หรือบางชิ้นหมดสมัย หรือของบางชิ้นขายดีกว่านำไปทิ้งเป็นขยะ ของบางชิ้นเป็นสิ่งที่คนซื้อกำลังมองหาและหลายอย่างมีศิลปินมาซื้อเป็นวัสถุดิบนำไปสร้างสรรค์เเป็นผลงานศิลปะ และก็เจอหลายชิ้นที่แบบ ใครจะซื้อ…

ตลาด ดากล์ฟิน เป็นสนามแข่งม้าเก่าแก่ของเมือง ยังมีการจัดแข่งม้าบ้างเป็นครั้งคราว วันศุกร์-เสาร์  ในฤดูร้อนเปิดเป็นตลาดเปิดท้ายฯ ใหญ่มากมีสินค้า พ่อค้าแม่ขายเยอะพอสมควร เดินสนุกแบ่งออกเป็นสามโซน โซนใต้ต้นไม้ร่มรื่นเดินสบาย โซนกลางเต้นเป็นของพ่อค้ามืออาชีพ ขายของถูกๆเหมือร้าน20บาทที่เมืองไทยและโซนสามแบบเปิดโล่งหน้าสนามม้าวันแดดร้อน ร้อนมากเลยและสนุกมากเช่นกันเปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น วันศุกร์ของไม่เยอะเท่าวันเสาร์ค่ะ ยังมีตลาดเปิดท้ายในเมืองอีกสองสามแห่งแต่ขนาดเล็กกว่าและของไม่น่าสนใจเท่าที่นี่ เช่นที่ Olympiapark Flohmarkt und Flohmarkt Riem ค่ะ

 

Street Art – Munich

วันนี้พยากรณ์อาการบอกว่าแดดออก คือโอกาศทองและวันพิเศษสุดๆวันหนึ่ง  หอศิลปะ Pinakothek ไม่ใช่จุดหมาย ฉันออกไปตามหางานเก็บภาพ Street Art ที่อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ดีกว่า มิวนิกขึ้นชื่อมากเรื่องรัฐบาลท้องถิ่นสนับสนุนการแสดงออกในแขนงนี้ นอกจากอนุญาติการอย่างถูกกฏหมายในบางพื้นที่แล้ว ยังมีการว่าจ้างงานเป็นเรื่องเป็นราว เช่นตามใต้สะพานทางด่วน แปลงเป็นที่จอดรถ รัฐบาลได้ค่าจอดรถ ศิลปินได้แสดงผลงานและค่าจ้าง ประชาชนรู้สึกปลอดภัยในการสัญจรดูปลอดภัยและเป็นมิตรด้วย สถานที่คลาสสิกอย่างทางรถไฟออกจะลำบากและเป็นเขตหวงห้ามแถมเส้นทางยาวเหยียดการนั่งรถไฟชมแบบผ่านๆก็รื่นรมย์ไปอีก ที่หาดูง่ายจะถนนเรียบแม่น้ำอิซาและใต้สะพานและแหล่งทีใหญ่และงานสมบูรณ์มาก ที่ฉันไปมาเมื่อวานคือ Hall of fame, Tumblingstrasse. มีงานแจ๋มๆจากศิลปินหลายคนด้านในเป็นสนามประลองงานและทดสอบฝึกปรือฝีมือ ฉันเจอและพูดคุยกับศิลปินสามสี่คนกำลังเพ้นพ่นงาน และมีบางคนยังคงไม่อยากแสดงตัวปฏิเสธถ่ายรูปทำให้นึกถึงบุคคลิกเพื่อนศิลปินหนึ่งที่ปกปิดหน้าสเมอเวลาเรายกกล้อง