Street Art – Munich

วันนี้พยากรณ์อาการบอกว่าแดดออก คือโอกาศทองและวันพิเศษสุดๆวันหนึ่ง  หอศิลปะ Pinakothek ไม่ใช่จุดหมาย ฉันออกไปตามหางานเก็บภาพ Street Art ที่อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ดีกว่า มิวนิกขึ้นชื่อมากเรื่องรัฐบาลท้องถิ่นสนับสนุนการแสดงออกในแขนงนี้ นอกจากอนุญาติการอย่างถูกกฏหมายในบางพื้นที่แล้ว ยังมีการว่าจ้างงานเป็นเรื่องเป็นราว เช่นตามใต้สะพานทางด่วน แปลงเป็นที่จอดรถ รัฐบาลได้ค่าจอดรถ ศิลปินได้แสดงผลงานและค่าจ้าง ประชาชนรู้สึกปลอดภัยในการสัญจรดูปลอดภัยและเป็นมิตรด้วย สถานที่คลาสสิกอย่างทางรถไฟออกจะลำบากและเป็นเขตหวงห้ามแถมเส้นทางยาวเหยียดการนั่งรถไฟชมแบบผ่านๆก็รื่นรมย์ไปอีก ที่หาดูง่ายจะถนนเรียบแม่น้ำอิซาและใต้สะพานและแหล่งทีใหญ่และงานสมบูรณ์มาก ที่ฉันไปมาเมื่อวานคือ Hall of fame, Tumblingstrasse. มีงานแจ๋มๆจากศิลปินหลายคนด้านในเป็นสนามประลองงานและทดสอบฝึกปรือฝีมือ ฉันเจอและพูดคุยกับศิลปินสามสี่คนกำลังเพ้นพ่นงาน และมีบางคนยังคงไม่อยากแสดงตัวปฏิเสธถ่ายรูปทำให้นึกถึงบุคคลิกเพื่อนศิลปินหนึ่งที่ปกปิดหน้าสเมอเวลาเรายกกล้อง

HIKING Öbersee – Röthbachfall เดินเขา ทะเสสาปโอ๊ะแบร์ น้ำตกร็อทบาค

หลังจากกินข้าวเที่ยงที่ท่าเรือบาร์โธโลเม่ เราต่อเรือมายังท่าเรือซาเล่ใช้เวลาไม่นาน มีเส้นทางเดินต่อไปยังทะเลสาปโอ๊ะแบร์ แบบง่ายๆรถเข็นเด็กเข้าได้เหมาะสำหรับทุกเพศวัย ป่าสนสูงชลูดแสงเงาสวยมาก อากาศชื้นทั้งปีมอสปกคลุมยังเขียวขจีเห็ดป่าขึ้นมาหลายชนิด ถ้าเป็นป่าดิบชื้นอย่างเมืองไทยจินตนาการว่างูและสัตว์แมลงมีพิษยั้วเยี้ยเลย ไม่เห็นมีใครนั่งปิกนิกสมมติฐานเอาเองว่าไม่ใช่คนในพื้นที่แน่ๆจึงมีคาเฟ่บริการสองร้าน ที่วิวสวยที่สุดในโลกก็ว่าได้ ขากลับจากเดินเขาเราแวะชิมเค็กเมล็ดดอกป็อปปี้และกาแฟรสชาติดีทั้งร้อนและเย็น

ทะเลสาปโอ๊ะแบร์มีวิวสวยและใครๆต้องถ่ายรูปคือเงาสะท้อนที่สวยใสขาดใจ เราเจองู Kreuzotto กำลังนอนผึ่งแดดขวางวิวพอดี จริงๆเป็นเรื่องยากที่จะเจองูในประเทศนี้ ถือว่าเรามีบุญ 555… ทางเดินจากจุดนี้ขึ้นเขาข้ามไปหนึ่งลูกเพื่อไปอีกฟากของทะเลสาปโอ๊ะแบร์เป็นเส้นทางที่ผจญภัย น่าตื่นเต้นและทดสอบนิสัยและน้ำใจเพื่อนร่วมทางได้ไม่น้อย แถวบ้านเรียก “เส้นทางวัดใจ” ทางเดินแคบขอบหน้าผา หินเขาชันและเปียกลื่นยังดีมีเส้นเชือกจับกันลื่นค่ะ วิวสวยและผาชัน รองเท้าเดินป่าหรืออย่างน้อยรองเท้าเล่นกีฬาแนะนำว่าจำเป็น ฟากนี้มีคาเฟ่เล็กบริการเบียร์และน้ำอัดลม และลงเล่นน้ำในทะเลสาปได้ค่ะ

เราเดินต่อไปยังน้ำตกร๊อทบาค 470 เมตรที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสายน้ำตกสูงยาวที่สุดในเยอรมันนี รอบๆเทือกเขาบริเวณนี้ยังมีอีกสองสามสายตกลงเป็นลำธารเล็กๆ ลงมารวมเป็นหนองน้ำก่อนจะจมหายใต้พื้น แล้วไหลรวมลงไปสู่ทะเลสาปโอ๊ะแบร์และเคือะนิก  มีเรื่องตลกในการข้ามลำธารเล็กๆเหล่านี้เป็นบททดสอบบางอย่าง นั่งสังเกตุมีวิธีข้ามเช่นไร นักท่องเที่ยวชาวจีนเก็บหินมาทำเป็นสะพานข้าม ลูกเสือและคนที่สวมรองเท้าเดินป่าเดินลุยน้ำผ่านไปหน้าตาเฉย ชาวตะวันตกบางคนถอดรองเท้า บางคนกระโดดข้าม บางคนเดินหาที่เหมาะสมก้าวข้ามฯลฯ

ทุ่งหญ้าดอกบานสะพรั่ง แมลง ผึ้ง ผีเสื้อ แสงแดด โขดหินและหน้าผาชันสูงชลูดของเทือกเขา Berchtesgaden Alps. สวรรค์บนดินอย่างในหนัง Sound of music.

Munchen-Konigssee ทะเลสาปเคือะนิก(ทะเลสาปแห่งพระราชา)

ก่อนซื้อตั๋วเดินทางต้องเช็คพยากรณ์อากาศวันต่อวันกันเลยนะ ถึงแม้จะเป็นหน้าร้อนก็ไม่รับประกันว่าฟ้าเปิดทุกวันเมื่อวานฝนตกเช้ายันเย็นหนาวมาก ดังนั้นเช็คสภาพอากาศก่อนหนึ่งวันเป็นเรื่องจำเป็น เราโดยสารรถบัสไป-กลับมิวนิก  ทะเลสาปใช้เวลา 6 ชั่วโมงค่ะหากไปเจอกับฝนทำใจยากที่จะบอกตัวเองว่า ” ใส่เสื้อมาผิดตัว ” เบาะนุ่มๆคนขับเปิดเพลงเบาๆ สามชั่วโมงกับทิวทัศน์สองข้างทางแป็ปเดียวจริงๆ รถบัสออกจากสถานีขนส่งกลางตรงเวลาเป๊ะ ถึงสถานีปลายทางทะเลสาปเคือะนิกก็เป๊ะเช่นกัน

ลานจดรถเต็มขนัดและเดินๆมุ่งหน้าไปท่าเรือก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว มากจากทั่วสารทิศทั้งเอเซียและตะวันตก รู้สึกคนจีนจำนวนไม่น้อยเลย  ถัดไปหน่อยกำลังก่อสร้างอีกสองสามปีคงจะมีกระเช้าไฟฟ้าชมวิวยอดเขาด้วย เราเดินมาต่อคิวซื้อตั่วล่องเรือที่ท่าคิวยาวเช่นกัน(เห็นว่าซื้อออนไลน์ได้แต่ลองแล้วไม่เวิร์ก) ปลายทางมีสองแห่งให้เลือกราคาไป-กลับ ลงที่ท่าเรือโบสถ์บาโธลาเม่  ผู้ใหญ่ 14.80 ออยโร ลงท่าเรือซาเล่ 17.80 ออยโร(แวะพักกินข้าวเที่ยงที่ร้านท่าเรือบาโธลาเม่ ปลาเทราส์อบเนยอร่อยมาก) ทั้งสองท่าเรือมีตั๋วเด็ก ตั๋วยกครัวปิดบอร์ดประกาศไว้ชัดเจนไว้ แถมมีตั๋วสำหรับสุนัขเหมาจ่ายด้วย 3.50 ออยโร

เรือที่เดินในทะเลสาปแห่งนี้ใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแตปี คศ.1909 ล้ำสมัย สภาพธรรมชาติแวดล้อมยังสมบูรณ์และสวยงาม แม้มีด้วยกันตั้ง18 ลำ วิ่งรอกไปมาทุกวันกว่าร้อยปี ทะเลสาปไสเขียวมรกต โอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงเฉียดฟ้า อากาศเย็นสดชื่น เครื่องยนต์เงียบมาก เสียงที่ได้ยินเฉพาะเสียงฮือฮาของนักท่องเที่ยว เสียงลั่นชัตเตอร์และเสียงไกด์ประจำเรือเล่าโน้นนี่

กลางทะเลสาบนายเรือเป่าแตรโชว์พาวเวอร์เสียงสะท้อนก้องกังวาลเจ็ดชั้น เคลิ้มเลย กระทั่งเป่าเสร็จเดินขอทริปกันตรงๆไม่อ้อมค้อมทั่วเรือเลยพ่อคุณ หุหุ

Bernried Village/Buchheim Museum

ไม่ว่าจะเดินทางมาหอศิลป์ บุคไคล์ม ด้วยทางเรือสำราญหรือทางรถไฟ ก็ต้องเดินผ่านหมู่บ้าน แบร์นเรียด์ เราเดินทางมาในเดือนกรกฎาคม หน้าร้อนแดดจัดฉันเดินสวมหมวก กางร่มใส่แหว่นดำกันแดด ท้องฟ้าสีคราม ทะเลสาปสีเขียว หมู่บ้านประดับตกแต่งด้วยดอกไม้สวยงาม สีสันสดใส  บ้านหลายหลังยังครึ่งปูนครึ่งไม้ ในสวนปลูกแอปเปิ้ล ลูกแพร์ แบ่งสวนปลูกผักและสมุนไพรก็มี เราแวะเข้าโบสถ์ประจำหมู่บ้าน แวะซื้อน้ำเย็นที่ร้านขายของชำ เดินผ่านเสาหลักหมู่บ้าน เสาหลักนี้สูงเกือบสามสิบเมตรติดธงแสดงให้เห็นว่าหมู่บ้านมีอะไรที่เห็นมีร้านอาหาร ท่าเรือ ร้านขนมปัง ช่างทำกุญแจ เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น หมู่บ้านค่อนข้างสงบเงียบน่าอยู่ ถึงแม้จะเป็นเมืองที่มีรถไฟผ่าน นักท่องเที่ยวก็ไม่พลุกพล่านยังคงกระจุกตัวกันแค่ริมทะเลสาปมากกว่า นอกจากเอ่ยขอซื้อน้ำดื่มก็ไม่ได้เอ่ยปากสนทนากับคนแปลกหน้าเลย จะมียิ้มหวานให้กับคนเดินผ่าน คงไม่ใช่คนท้องถิ่นแน่ๆ

Starnberger See

เป็นหนึ่งในห้าทะเลสาปน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมันนี ทะเลสาปสตาร์นแบร์ก ห่างจากมิวนิกประมาณ 25 กิโลมตร เรานั่งรถไฟมาลงที่สถานีสตาร์นแบร์กเพื่อต่อเรือสำราญไปเที่ยวหอศิลป์ บุคไคล์ม เรือสำราญบริการเฉพาะช่วง เมผษายน ถึงตุลาคมเท่านั้นนะคะ หากจะขับรถมาก็สะดวกอีกทาง ไม่อยากนั่งเรือมาเดินป่าหรือปั่นจักรยานรอบทะเลสาปยังได้แค่ 47 กิโลเอง

เราจองแพ็กเกจเดย์ทริป นั่งรถไฟ ล่องเรือสำราญและเข้าชมหอศิลป์ จองตั๋วและวางแผนเที่ยวได้ที่นี่ค่ะ http://www.seenschifffahrt.de ล่องเรือตอนเช้าอากาศเย็นสบาย สองฝั้งริมน้ำสวยงามด้วยป่าไม้ รีสอร์ท บ้านและสวนส่วนตัว กีฬาทางน้ำ และปาร์ตี้ริมฝั่งน่าสนุกมาก ห่างออกไปหน่อยสามารถมองเห็นบ้านพักริมน้ำ(ปราสาท)ขององค์ประมุขไทยรัชกาลที่10 อยู่ลิบๆ ภายในเรือบริการอาหารและเครื่องดื่ม ชิมเค้กอร่อยและกาแฟคนล่ะถ้วย ในวันเดินทางแดดจัดสมาราถเห็นวิวเทือกเขาแอล์ปด้วยค่ะ ขากลับเรานั่งบนด่านฟ้าของเรือจิปเบียร์เย็นๆชื่นใจมาก ผิวนี่เกรียมสีชมพูเป็นกุ้งเผากันเลย

Buchheim Museum der Phantasie

ครั้งแรกที่มาที่นี่เพราะแฟนเอาใจ เห็นว่าตอนนั้นฉันกำลังทำโปรเจค สตรีทอาร์ทที่เชียงใหม่ และในปีนั้นที่บูคไคล์ม มิวเซียมจัดแสดงนิทรรศการ สรีทอาร์ทอยู่ด้วย (นิทรรศการหมุนเวียนผ่านไปแล้วแต่ปัจจุบันยังมีผลงานหลายชิ้นให้ชมที่สนามหน้าและภายในอาคารค่ะ รับรองตื่นตาตื่นใจ)

การเดินทางมาพิพิธภัณฑ์จากมิวนิกได้หลายทางแต่ขอแนะสองทางคือ ด้วยรถไฟ S Bahn สาย 6 มาลงที่สตานแบร์ก Starnberg Station เพื่อต่อเรือสำราญที่  Starnberg See ในช่วงเมษายน -ตุลาคม ของปีเท่านั้น ตรวจสอบตารางเดินเรือและซื้อตั๋วที่นี่ค่ะ Bavarian lakes  จากท่าเรือเดินต่ออีกประมาณกิโลเมตรผ่านหมู่บ้านมายังหอศิลป์

หรือจะนั่งรถไฟยิงยาวจากมิวนิกไปลงที่สถานี แบร์นรีด Munich – Bernried จองตั๋วและวางแผนการเดินทางเช็คจากเว็ปไซด์ www.reiseauskunft.bahn.de ตอนซื้อตั๋วเข้าชมหอศิลป์โชว์ตั๋วรถไฟได้ส่วนลดคนละหนึ่ง ออยโร แน่ะ(ปรกติก 8.50 ออยโร) จากสถานีมาหอศิลป์เดินผ่านหมู่บ้านประมาณสองกิโลเมตรหรือแท็กซี่ประมาณ 7 ออยโรค่ะ

ความพิเศษของหอศิลปะแห่งนี้ประกอบด้วยเรื่องเด่นทางด้าน สถาปัยกรรมที่ออกแบบได้ล้ำสมัยในด้านสิ่งแวดล้อม หอศิลป์ตั้งรายล้อมด้วยสวนป่าร่มรื่นด้านหลังเป็นเนินเขา ด้านหน้าริมทะเลสาปโรแมนติในความรู้สึกของเรา และสุดท้ายคือเป็นหอศิลป์ที่จัดแสดงงานศิลปะแนวอิเพรสชั่นนิส โดยเฉพาะทั้งหมุนเวียนและนิทรรศการถาวร รวมถึงเป็นสถาที่เก็บสมบัติของ แฮร์โลธาร์ กุนเธอร์ บุคไคล์ม ศิลปิน นักสะสมงานศิลปะ นักเขียนชื่อดังของเยอรมันนี

ไอเดียสร้างสรรค์จากการดูงานศิลปะที่นี่ ปฏิมากรรมจากเศษไม้ เศษเหล็กและขยะ หุ่นปั้นคาแร็กเตอร์ตลกและการมีส่วนร่วมองผู้ชมงาน ห้องปฏิบัติการให้เด็กๆสนุกและเป็นการปลูกฝังอีคิว นิทรรศการหมุนเวียน วัตถุโบราณล้ำค่าหลายชิ้นจากเอเซีย(พระพุทธรูปไม้ลงรักปิดทอง เครื่องเขินและงานไม้อีกหลายชิ้นไม่แน่ใจว่ามาจากพม่าหรือทางเหนือบ้านเรา) แอฟริกา เครื่องแก้วอาร์ทนูโว่ ฯลฯ ร้านของขายที่ระลึกทีงานดิไซด์แปลกๆน่าซื้อติดมือ

ส่วนตัวชื่นชอบที่จะมาที่นี่เอามากๆ แวะมาทุกครั้งต่อเติมพลังสร้างสรรค์และพักผ่อนจิตใจ ชอบชานที่ยื่นทอดยาวออกไปให้เห็นวิวสวยของทะเลสาบ ตัวอาคารที่ออกแบบเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

 

 

Thailand to Germany

Over Munich City/ before landing

การเดินทางมาเยอรมันนีนั้นสะดวกมากโดยเฉพาะปัจจุบันมีสายการบินโลว์คอส และการโปรโมชั่นมากมายจากสายการบินอาหรับ คราวนี้เราบินด้วยสายการบิน เอทิแฮท ซื้อตั๋วตั้งแต่ยังไม่ขอวีซ่าด้วยซ้ำ ออกจะมั่นใจกว่าวีซ่าต้องผ่านแน่ๆ ทั้งๆทั้รู้ว่าบัตรโปรโมชั่นมีเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงอะไรยุ่งยากและต้องจ่ายเพิ่มแพงมาก การขอวีซ่าไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วแค่ใบจองเที่ยวบินก็เพียงพอแล้ว

เรายื่นเรื่องขอวีซ่าเชงเกนประเภท “เยี่ยมเยียน” ที่สถานกงศุลเยอรมันนีประจำจังหวัดเชียงใหม่ เอกสารที่ต้องจัดเตรียมเกินดีกว่าขาดทุกอย่างตามเว็ปไซด์สถานทูตเยอรมันนีกำหนด กรอกแบบฟอร์มออนไลน์และปริ้นสำเนาออกมาเพื่อสะดวกยิงบาร์โค้ดตอนยื่นเอกสารและเป็นการประหยัดค่าธรรมเนียมพันบาท ปัจจุบันที่สถานกงศุลฯมีสัมภาษณ์ด้วย เจ้าหน้าที่ทางเชียงใหม่เป็นมิตรและบรรยายากาศผ่อนคลายกว่าที่กรุงเทพ 55.. ฝากนิดหนึ่งเกี่ยวกับรูปถ่ายประกอบ ต้องเป๊ะตามคุณลักษณะและห้ามแต่งภาพ แม้รูปจะเป็นฝ้าหน้าจะมีสิวก็ห้ามแตะ เพราะเครื่องสแกนมันจะไม่ยอมอ่านและต้องเสียเงินเสียเวลาอย่างข้าพเจ้าที่ดันไปลบเม็ดสิวเข้า
เพิ่งรู้ว่าใบเชิญจากเยอรมันนีและประกันการเดินทางสัมพันธ์กับระยะเวลาการพำนักที่สถานทูตอนุมัติวีซ่าโดยตรง การยื่นเอกสารที่บ่งชี้พันธะที่ประเทศไทยก็ทำให้การอนุมัติผ่านมีน้ำหนักเช่นกัน

การบินภายในประเทศด้วยสายการรบินที่เป็นพันธมิตรกับสายการบินอินเตอร์ช่วยประหยัดเวลา ลดความยุ่งยากเรื่องสำภาระและสะดวกสบายในการต่อเครื่องเอามากๆแนะนำค่ะ

อาหารถูกปาก มีหนังถูกใจให้ดู การเดินทางราบเรียบไม่ระทึกกับสภาพอากาศ เครื่องลงที่สนามบินมิวนิกเอาตอนเช้าที่อาคารใหม่ เดินตามก้นแขกอาหรับที่มากันยกครัวเป็นกลุ่มๆ เวลาต่อแถว ตม. เราพยายามแยกตัวออกมาจะได้ไม่รอนาน จริงๆด้านข้างตู้ตม. มีเครื่องตรวจพลาสปอร์ตอัตโนมัติอยากลองใช้ แต่กลัวว่าหากขัดข้องต้องมาต่อคิวยาว ไว้ลองคราวหน้าจะลองดูและมาเล่าให้ฟังค่ะ สิ่งสำคัญที่เราควรติดตัวเป็นแผ่นกระดาษไว้ ตม.มักถามหาคือตั๋วเดินทางแสดงขากลับ เพราะวีซ่าระบุการพำนักค่อนข้างชัดเจน เจ้าหน้าที่จะย้ำในจุดนี้มาก เพราะมีผลกระทบในการขอวีซ่าครั้งถัดไป เสร็จจากตม. ขึ้นขบวนรถไฟใต้ดินเพื่อไปรับกระเป๋าเดินทาง ออกจากตู้รถไฟเป็นทางเดินเพดานใต้ๆ ผนังสีขาวๆสะอาดๆทำให้นึกถึงบางฉากในหนังเอเลี่ยนที่เหล่านักวิทยาศาสตร์เดินไปเดินมา มีกล้องวงจรปิดทุกขณะ กระเป่าเดินทางรับได้ตามสายพานที่ระบุเที่ยวบินชัดเจนหรือหมายตาผู้โดยสารที่เราเห็นบนเครื่องเอาไว้รับรองไม่หลงค่ะ รับกระเป๋าเสร็จแล้วเดินผ่านเจ้าหน้าที่”อย่ายิ้มเด็ดขาด” ไม่งั้นคุณจะโดนเรียก(สุ่ม)ตรวจ เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ที่นี่เป็นเสือยิ้มยาก การยิ้มเป็นเรื่องแปลก

เข้าเมืองด้วยรถไฟ ตั๋วซื้อได้จากตู้อัตตโนมัติ ขั้นตอนมีภาษาอังกฤษชัดเจน ไฮไลท์อยู่ที่ซื้อแพกเก็จสำหรับ ห้าคน มีใครเก้ๆกังๆแถวนั้นก็เรียกมาแชร์เลยคะ ประหยัดโขเลย อ้อตอนขึ้นพยายามนั่งใกล้ๆกันด้วยนะคะ เผื่อมีเจ้าหน้าที่มาตรวจ ชี้โบ้ชี้เบ้ได้ทันไม่ยุ่งยากอธิบาย