จริงๆบริเวณที่เรียกว่าสามพันโบก จะอยู่ตอนกลางของเส้นทางท่องเที่ยวที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 30 ตารางกิโลเมตรจากเหนือจรดใต้ ตามแนวไหลผ่านของแม่น้ำโขง เราอยากจะแนะนำว่าหากมาแล้ว เพื่อซึมซาบกับภูมิประเทศอันสวยงามและเห็นวิถีชีวิตการจับปลาของขาวบ้านแถบนี้ อยากให้ขับรถมาจอดและขึ้น-ลงเรือที่หาดสลึงค่ะ แต่ถ้าอยากจะดูแค่ลานหลุมบ่อก็แวะมาที่แก่งสามพันโบกได้เลย มีลานจอดรถและร้านอาหาร ร้านค้าสวัสดิการต่างๆแล้วจะเดินลงมาหรือนั่งวินมอร์เตอร์ไซด์ลงมาที่ลานโบก ส่วนตัวที่คิดว่าช่วงเวลาไม่ร้อนมากอย่างตอนเช้าและช่วงบ่ายแก่ๆเหมาะมาเที่ยวคะ
เราลงเรือที่หาดสลึง ค่าบริการเป็นธรรมและแจ้งไว้ที่กระดานชัดเจน เหมาลำ 1,000 บาทและจะมีพี่มัคคุเทศน์ลงเรือมาด้วยเป็นลูกมือคนขับและมาค่อยอธิบาย พูดคุยได้ความรู้ แม้จะฟังภาษาอีสานออกบ้าง เอออออไปตามเรื่องบ้าง ไม่มีราคาตายตัวสำหรับพี่เขาแนะนำตามแต่สินน้ำใจคะ เรามาต้นเดือนเมษายนปีนี้น้ำเยอะเนื่องจากจีนกำลังสร้างเขื่อนทำให้หาดสลึงจมน้ำ เรือเราขับทวนน้ำขึ้นมาที่ ปากบ้องเขตหมู่บ้านสองคอน พี่มัคคุเทศนืยังบอกว่าน้ำสูงตลิ่งที่เคยเห็นตระหง่ายเป็นสิบเมตรจึงเหลือประมาณครึ่ง “ปากบ้อง” ตรงนี้เป็นจุดที่แม่น้ำโขง แคบที่สุด เป็นหน้าผาหินที่เกิดจากรอยแยกตัวของแผ่นหินทรายลักษณะเหมือนคอขวด ส่วนที่แคบที่สุดวัดได้ประมาณ 56 เมตร
ถัดขึ้นมาอีกหน่อยเป็น หินหัวพะเนียง บริเวณนี้ เป็นเกาะหินขนาดใหญ่แยกแม่โขงออกเป็นสองสาย พี่มัคคุเทศน์บอกว่าเกาะนี้ฝรั่งเศษระบุในแผนที่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศลาว ทวงไม่ได้หรอกทั้งๆที่ควรเป็นส่วนกลาง มองข้ามไปฝั่งลาวยังเป็นป่ารกชักและมีหาดทรายเล็กๆสวยงามมาก เราวกกลับลงมาผ่านลุ่มน้ำวนขนาดใหญ่มากและน่ากลัวมากยังไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายใหนเข้ามาสำรวจได้ แต่ตามความเชื่อที่เล่าต่อกันมาบอกว่าเป็นสถานที่ลึกลับและศักสิทธิ์ต้องห้าม คนพื้นเมืองเขาถือกัน ฉันคิดว่าเป็นบริเวณเหมือนสามเหลี่ยมเบอมิวด้าน่ะนะ สองฝากของแม่โขงชาวบ้านจับปลาแบบใช้ยอ ดังนี้ปลาที่นี่รับรองปลาสดปลาเป็นอร่อยจริงและมีเฉพาะตัวโตๆ ฉันเห็นเขายกยอขึ้นมาเลือกและโยนปลาตัวเล็กตัวน้อยกลับคืนแม่โขงด้วย
เขาผ่านสามพันโพกลงไปที่แก่งหินสีเพราะพระอาทิตย์กำลังตกดิน เป้นลานหินเวลาแสงกระทบหินสีจึงแลดูสวยงามงามบริเวณนี้เห็นหินอัคนี หินภูเขาไฟกระจัดกระจายกินบริเวณกว้างมากยังกับเดินอยู่นอกโลก ดีที่มีพี่มัคคุเทศน์มาด้วยบอกว่าควรเดินไปจุดใหนและดูอะไร ไม่งั้นคงหลงเพราะลานกว้างสุดลูกหูลูกตาทีเดียว สีดำๆทมึน มีพืชและต้นไม้บางชนิดลักษณะการเติบโตเป็นบอนไซ หากหินแตกเนื้อในหินบางก้อนเป็นสีดำนิล สีทองแดง กระทบแสงสวยมากมาย ส่วนดำๆกระทบแสงจะระยิระยับเช่นกัน และเหมือนโชคเข้าข้าง แดดมาให้เราเห็นแค่ห้านาทีก่อนลับขี้เมฆยามเย็น
เราลงเรือขับทวนน้ำขึ้นมาที่หาดหงษ์ เป็นตลิ่งสันทรายสูงขึ้นมาขาวนวลนุ่มเท้า เดินขึ้นถึงสันทรายนี่เล่นเอาหอบเชียวคะ อีกฝั่งทางลาวก็มีเป็นหาดเล็กๆกระจัดกระจายน่านอนอาบแดดเช่นกัน แต่เรือฝั่งเราจะไปจอดหรือเทียบท่านี่ไม่ได้นะ จริงๆชาวบ้านเขารับรู้กันถึงแม้จะมีบ้างที่ไปยกยอริมตลิ่งฝั่งโน้น แต่หากไปจอดเรือหรือขึ้นฝั่งที่มีนักท่องเที่ยวก็จะมีทหารมาเลย คิดว่าหากลาวเปิดบริเวณนี้ เราต้องสูญเสียรายได้ท่องเที่ยวไปเยอะทีเดียวเพราะจากสภาพแล้ว สถานที่บริสุทธ์มาก
และจุดจอดเรือสุดท้ายคือแก่งสามพันโบก พระอาทิตย์ตกดินพอดี บริเวณนี้หินจะเป็นหินทรายและคนละประเภทกับแก่งหินสีโทนสีก็ต่างกัน แก่งสามพันโบกออกสีชมพู สีโอรส สีครีมหวานโรแมนติกมาก อย่างที่บอกไว้ว่าปรากฎการน้ำวนธรรมชาติขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง กัดเซาะหินทรายในช่วงหน้าน้ำ และพอน้ำลดเราจึงเห็นทั้งเป็นโขดแนวหินตั้งตระงานแบบ แคนยอน และเป็นลานหลุม และบ่อที่มีน้ำขังจากน้ำใต้พื้นดินเป็นส่วนหนึ่งอันมหัศจรรย์ของแม่น้ำอันยิ่งใหญ่ของโลกสายนี้ที่เรียกว่า .”แม่โขง”