Author: Jo

New palace เป็นอาคารหลังใหญ่ที่สุดของปราสาทคะ ตกแต่งภายในด้วยศิลปะแบบบาโร็ควิจิตรหรูหรา ทั้งโคมไฟแซนเดอร์เลีย เฟอร์นิเจอร์ทุกห้อง บันไดและพื้นห้องจากหินอ่อน หุ่นปั้น Struccoประดับเสา คาน เพดาน ภาพจิตรกรรมปูนเปียก Fressco ภาพสีน้ำมันแขวนผนังเช่น Caravaggio ฯลฯเสียดายที่นี่ไม่มีเครื่องบรรยายให้ เลยต้องยืนอ่านป้ายให้รู้เรื่องก่อนชมงาน แต่ดีหน่อยเป็นอังกฤษ

ชั้นล่างของปราสาทใช้จัดงานเลี้ยงต่างๆ ที่วิวสวนแบบฝรั่งเศสได้ชัดเจนจากบนนี้สวยมากและสวนป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ทางเดิน ม้านั่ง น้ำพุ สวนเปิดให้เข้าชมฟรีคะ ในช่วงฤดูร้อนของทุกปีจะมีงานเทศกาล   Sommer Classical  Konzerte บัตรจองกันเต็มล่วงหน้าทั้งนั้น

 

เป็นที่ทราบกันว่ามิวนิกเป็นเมืองหลวงของแคว้นบาวาเรีย จึงมีปราสาทเยอะ เราตามไปชมกันคะ ปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ สวนใช้สำหรับจัดคอนเสิร์ต จัดเลี้ยงและการแสดงละครโอเปร่าคะ ปราสาทแห่งนี้ออกจากตัวเมืองมิวนิกนักท่องเที่ยวน้อยเงียบสงบและสัมผัสความเป็นท้องถิ่นเสน่ห์ที่เราหลงไหลมาก การอยู่ไกลเมืองไม่เป็นปัญหาเลยคะ แนะนำใช้ smartphone โหลด Application ของ MVV ที่อำนวยควาสะดวกครอบคลุมข้อมูลการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะในมิวนิกทั้งหมดและมีประสิทธิภาพเอามากๆ แค่พิมพ์จุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทางเท่านั้นข้อมูลภาษาอังกฤษขึ้นมาเพรียบ พร้อมคำแนะนำเส้นทางอีกต่างหาก  

ปราสาทแห่งนี้ขอแบ่งออกเป็นสามตอน เช่นเดียวกับการแบ่งแปลนปราสาทที่เลือกว่าจะเข้าชมทั้งหมดหรือบางส่วนคะค่าบัตรแยกซื้อได้ เมื่อลงจากรถเมล์ก็ตรงเข้าอาณาเขตปราสาทเลย ไม่มีรั้วหรือประตูกั้น สวนสวยเปิดโล่งมีทางเดินที่ใครๆก็ผ่านได้ฟรีค่ะ หลังแรกทางขวามือเราไปที่ old Palace (ข้างๆมีสวนเบียร์ด้วย) ขึ้นไปซื้อบัตรเข้าชมปราสาท เจ้าหน้าที่น่ารักมาก  เราพูดภาษาเยอรมันเป็นคำๆ และเนิ้บช้า ยังใจดีรอฟังจนจบประโยคแถมยังแนะนำส่วนลดค่าธรรมเนียมเข้าชมต่างๆ ที่ร่วมโปรโมชั่นกับการท่องเที่ยวและบริษัทขนส่ง เนื่องจากเราได้ส่วนลดที่นั่งรถรถสารธาระมาและส่วนลดเหมาจ่ายเข้าชมปราสาททั้งสามหลังด้วยราคาสุดคุ้ม แค่ 6 ยูโร 

อาคาร old Palace สถาปัตยกรรม Renaissance ลูกทุ่งๆยุโรปด้านหลังมีคอกม้าและคอร์ดยาด ภายในอาคารแบ่งส่วนจัดแสดงศิลปะและของสะสม ห้องด้านขวามือเป็นงานหัตกรรมจากประเทศที่นับถือคริสตศาสนา จัดแสดงตุ๊กตาสื่อเรื่องราวของวันคริสต์มาสและไข่วันอีสเตอร์ โดยใช้วัสดุเด่นประจำประเทศนั้นๆ เป็นเสน่ห์สำหรับใครที่ไม่เคร่งครัดศาสนาคะ  ห้องด้านซ้ายแสดงภาพ woodcut, Jewellry ภาพวาดสีน้ำ สีน้ำมันและกรุสมบัติอื่นๆน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

กินเนื้อที่กว้างใหญ่มาก บางทีให้นึกไปว่าไม่ใช่สวนกลางเมือง การออกแบบที่ปล่อยธรรมชาติเป็นสวนป่า และพื้นลานโล่งสีเขียว มีแม่น้ำตัดผ่าน มีอนุสาวรีย์ มีสนามเด็กเล่น มีสวนเบียร์และสิ่งก่อสร้างน้อยที่สุด  แต่การบำรุงรักษาที่ดี 

ในฤดูร้อนจะมีสีสรรมากๆ เป็นที่ชื่นชอบของเราไม่ว่าจะมาปิกนิก มานอนอาบแดด มานอนเล่นอ่านหนังสือ ดูผู้คน บ้างนักดนตรีเปิดหมวก บ้างทีการแสดงละครกลางแจ้งจากคณะสมัครเล่น และการเล่นกระดานโต้คลื่นเทียม ฯลฯ

ถือว่าเป็นเรื่องผิดมากถ้าเราไม่แนะนำหรือกล่าวถึงไอศครีมร้านนี้ ด้วยความชอบไอศครีม ร้านนี้คือขวัญใจเป็นงานที่สร้างสรรค์และไอเดียกระฉูดจริงๆ เจ้าของร้านเป็นหนุ่มอารมณ์บรรเจิด ผลิตและคิดค้นไอศรีมรสชาติแปลกประหลาด ไร้ขีดจำกัดจริงๆไม่ว่าจะเป็นรส ปลาแซลม่อนย่าง รสเชมเปญ รสสตรอเบอรีใบกระเพรา และอีกหลายสิบรส ทั้งแบบคราว หวานและแบบแอลกอฮอล์

ร้านอยู่หลังมหาวิทยาลัยมิวนิก ทั้งนักศึกษา ทั้งนักท่องเที่ยวบางวันคิวยาวยังกะแจกฟรี นอกจากรสชาติของไฮศรีมแล้วร้านยังตกแต่งภายในด้วยโทนชมพู ด้วยภาพเรื่องราวเด็กหญิงอลิสในแดนอัศจรรย์ จิตนาการทะลุกำแพงไปอีก บรรยากาศสนุกสนานและเพลิดเพลินในการกินไฮศครีมเอามากๆ

ฤดูร้อนปี 2016มีการซ่อมบำรุงพิพิธภัณฑ์ในมิวนิกหลายแห่ง แต่ยังเปิดให้เข้าชมตามปรกติกในบางส่วน เช่นเดียวกับพระราชวังเก่าที่ประทับของพระเจ้าลุควิคที่1ค่าเข้าชมแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ห้องต่างๆในราชวังราคาบุคคลทั่วไป 7 ยูโร พร้อมเครื่องบรรยาย หากต้องการเข้าชมท้องพระคลังกรุสมสมบัติ ก็จ่ายเพิ่มเติมอีกหน่อย เนื่องจากเราแวะมาค่อนข้างบ่ายแก่ๆแล้วเลยซื้อบัตรเข้าชมเฉพาะพิพิธภัณฑ์คะ

ห้องแรกที่เดินเข้าไปเป็นซุ้มทีประดับตกแต่งด้วยเปลือกหอย ค่อนข้างเก่ายังคงความสวยงามและแปลกประหลาด ถัดมาไฮไลท์คือห้องโถงโค้งสวยงาม พื้นทางเดินหินอ่อน จิตรกรรมฝาผนัง เพดาน หุ่นปั้นหินอ่อน นอกจากนั้นยังมีห้องกระจก ห้องแสดงภาพจิตรกรรม ใครที่ชื่นชอบศิลปะแบบ บาโร็ค/โรโกโก ลวดลายประดิดประดอยฟุ้งเฟ้อเป็นเซ้ทเดียวกกันทั้งห้องและเฟอร์นิเจอร์ รุ่มรวยด้วยโทนสีทอง มาที่นี่ไม่ผิดหวังคะ นอกจากนี้ยังมีเครื่องเซรามิกจากไมซเซน จากเมืองจีน พรมแขวนผนังสวยมาก และเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ล้วนวิจิตรงามตา

สำหรับคนกระเป๋าหนักหากเดินจากจัตุรัสมาเรีนพลัท ขวามือคือห้าง Ludwig Beck ตรงแน่วตลอดเส้นทางประมาณสองร้อยเมตรเป็นร้านแบรนด์เนมดังๆ พอถึงสี่แยกเป็นลานอนุสาวรีย์ปฐมกษัตริยแห่งบาวาเรีย มักซ์ โยเซฟ ประทับนั่งโบกพระหัตต์ และขวามือโรงละครถัดจากนี้ไปเป็นโรงแรมดังและร้านหรูๆเยอะเชียวคะ

ปัจจุบันใครที่มี Smartphone ดาวล์โหลดแอพพลิเคชั่นแผนที่ ทั้งของกุลเกิ้ลหรือของโอเพินสตรีทแม็ปไว้ใช้จะสะดวกมากคะ หากมีข้อจำกัดอื่นๆการถือการใช้แผ่นพับแผนที่ที่เป็นที่เป็นกระดาษก็ดีเช่นกัน จัตุรัสมาเรียนพลัทมี Tourist Information Centre เข้าไปหยิบแผนที่เมืองมิวนิก ราคา 50 เซนต์ใช้ได้ดีทีเดียว

หากดื่มกาแฟจากวิกทัวเรียนมาร์ทแล้วเดินเลยมาหน่อยที่ st.- Jakobs-Platz จะมีพิพิธภัณฑ์ บริเวณนี้มีสองแห่งที่น่าสนใจและนักท่องเที่ยวไม่พลุกพล่านนัก แนะนำสำหรับใครที่อยู่มิวนิกระยะยาวและมีเวลานะคะแห่งแรกคือ Muenchener Stadtmuseum แปลได้ง่ายคือพิพิธภัณฑ์คนเมืองมิวนิก จัดแสดงทุกสิ่งทุกอย่างถึงประวัติความเป็นมาแสดงออกถึงตัวตนคนเมืองนี้จากอดีตถึงปัจจุบันและของสะสมเยอะมาก แวะเข้าชมคะ หากเพลียกับการเดินชมและศึกษาตรงนี้แล้ว มีลานโล่งมีน้ำพุและเก้าอี้ไว้ให้นั่งพักผ่อน ก่อนที่จะเดินเข้าชมพิพิธภัณฑ์ชาวยิว และอนุสรสถานรำลึกถึงชาวยิว ( Judisches Museum / Memorz Loops )ด้านในมีคาเฟ่ด้วยคะ ถิ่นนี้คนยิวพำนักอยู่เยอะคะ เราชอบแปลงเมืองมิวนิกมาก ทุกที่ต้องมีพื้นที่สาธารณะและสนามเด้กเล่นแบบนี้เสมอๆ เราห่อแซนวิชมาด้วยเลยนั่งกินตุ๊ยๆ ชมอาคารออกแบบแปลกๆหลังนี้ ผู้คนเดินผ่าน ลมเย็นๆเพลินใจเลย เราเจาะจงไม่บอกเล่าประวัติความเป็นมาอะไรมากมาย การค้นคว้าและมาเห็นกับตาเราจะได้ความรู้สึกที่ต่างออกไปอีกแบบ จริงๆนะคะ

 

สำหรับมิตรรักคนกาแฟนะคะ ใหนๆก็มาแถวมาเรีนพลัทแล้ว อย่างที่ทราบข้างๆกันคือวิกทัวเรียนมาร์ตตลาดที่เปิดขายสินค้าหลากหลายและสวนเบียร์ คาเฟ่ และอื่นๆทุกอย่างที่อยากอุดหนุนไปซะหมดเลย ที่อุตหนุนประจำทุกครั้งที่แวะมาแถวนี้คือร้านกาแฟสุดเจ๋งที่อยากแนะนำในความชอบส่วนตัวคะ ตัวเราและคอกาแฟสมัยใหม่ยกให้ว่า แจ๋ม! เป็นบาร์กาแฟ สั่งและยื่นดื่ม มีขนมแกล้ม พร้อมขายกาแฟคั่วเอากลับบ้านด้วย ช่วงหลังอาหารกลางวันคนคนค่อนข้างแน่น คาดว่าคนทำงานแถวใกล้เคียงแวะมาก่อนเข้าสำนักงานคะ ยืนๆทำเป็นเนียนไม่ว่ากันเหมาะสมกับประเภทร้าน ส่วนชื่อร้านตามภาพเลยนะคะ ยังมีข้างๆก็มีบาร์กาแฟที่บอกเปิดมานานและกรรมวิธี กาแฟและบรรยากาศก็คงความต้นฉบับเมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่ได้แวะชิมสักทีไว้คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังนะคะ