เรื่องกินเรื่องใหญ่
นอกจากพิซซ่าแล้ว ทีโบนสเต๊ก น่าจะเป็นอีกหนึ่งเมนูที่เป็นหน้าเป็นตาของฟลอเรนซ์นะคะ ร้านอาหารหลายร้านเลย จะมีตู้แขวนเนื้อโชว์หรา เนื้อชิ้นใหญ่มากตั้งแต่ 500 กรัมขึ้นไป ดังนั้นหลายร้านจะมีแพ็คเกจสำหรับเสริฟสองที่ขึ้นไปค่ะ เชฟจะเลือกเนื้อจากตู้โชว์ แล้วนำเนื้อมาให้ลูกค้าดูที่โต๊ะก่อนนำไปประกอบอาหาร (เช่นเดียวกับการเสริฟไวน์เลย)
ร้านขายเนื้อกลางเมืองในถนน Via Dei Neri ข้าง ๆ หอศิลป์พิพิธภัณฑ์ Uffizi / Palazzo Vecchio เราไปกินกลางวันสองครั้ง ชื่อ Antico Salumificio Artigiano เป็นร้านเขียงเนื้อ (Butcher) ขายทั้งเนื้อ ผลิตภัณฑ์จากเนื้อรวมอาหารกลางวัน จำพวกแซนวิสด้วย ซอยนี้แหละที่มีร้าน เหล่าสาวกโซเซียลมีเดียมาต่อคิวยาวเป็นหางว่าว เป็นชั่วโมงๆ เพื่อกินแซนวิสและไอศรีม
คนอิตาเลี่ยนจริงจังกับพิซซ่ามาก ขนาดซุ้มเล็ก ๆ ในสวนสาธาณะยังติดตั้งเตาอบพิซซ่า และสองร้านที่ฉันเข้าไปใช้บริการก็เป็นเตาฟืนด้วย ร้านที่อยากแนะนำ อยู่นอกเขตท่องเที่ยวลูกค้าที่เต็มร้านทุกวันคือคนท้องถิ่นค่ะ เดินทางสะดวกด้วยรถรางลงที่สถานี Poggetto หรือจะลงสถานีมหาวิทยาลัย Morgaggni Universita ค่ะ
ร้านแรก L’ angolo del Gusto (เรามากันห้าครั้ง) เมนูภาษาอิตาเลี่ยนล้วน ๆ สามีพยายามใช้แอพฯ แปล ส่วนฉันก็พยายามอ่านและพอจะเดาออกจากรากศัพท์ พนักงานเสริฟหลายคนและพ่อครัวพูดอังกฤษได้บ้าง พอเห็นเรามะงุ่มมะงาหรากับเมนูก็เข้ามาแนะนำ อัธยาศัยดี บริการเยี่ยม ราคาเบากระเป๋าค่ะ ไม่รู้ทำไมตลอดทั้งสัปดาห์อาหารเย็นเรากินเป็นคอร์ส เพราะอยกาลิ้มลองอาหารพื้นถิ่น จากพ่อครัวอิตาเลี่ยนแท้ เมนูแรก Antipasti ที่อยากแนะนำคือ – Antipasto misto Toscano คือจานเย็นแฮมไสล์รวมมิตร, Cocoli จานร้อนเป็นชีสอบ รสชาติเข้มข้นและกลิ่นแรงมาก
ถัดมาเป็นจานหลัก Primi Paitti / Secondi di Terra แน่นอนล่ะว่าคือพิซซ่า ของโปรดสามีที่แต่ละวันเฮียสั่งต่างไป ของฉันเมนูแนะนำคือ ซีฟู้ดซุปแป้งทอด คือทะเลสดและอร่อยสุด ๆ ไม่ต้องจิ้มอะไรเลยนะ หรือเมนู Ravioli หอมสมุนไพรสด ๆ ที่สอดไส้มา วันพุธคือวันที่ทะเลสดที่สุด (เชพแนะนำมาค่ะ)
เมนูตบท้ายเป็นของหวาน Tiramisu, Pannacotta, Sorbetto, ตบท้ายด้วย Limoncello และเอสเปรสโซ่ เพิ่มเติมเรื่องซอร์เบท์ เรียกง่าย ๆ ว่าไอศรีมที่ไม่ไส่ครีม ที่ฉันเคยทำและเคยกินคือเป็นก้อนคริสตัสน้ำแข็ง แต่ที่ร้าน Angolo จะออกเนื้อทรายกึ่ง ๆ ละลายใช้ช้อนซดหรือยกแก้วจิบ ส่วนอีกร้านที่เมืองปีซ่าเป็นครีมฟูเหมือนไข่ขาวตีฟูตั้งยอดนุ่มลิ้น ถ้าไม่เปรี้ยวจะนึกว่าเป็นไอครีม
ร้านที่สอง Da Tito ใกล้ ๆ กับมาหาวิยาลัยลงที่สถานีได้ พนักงานเสิฟหญิงคนเดียว หน้าตาไม่ค่อยรับแขก แขนขาลายพร้อยด้วย Tattoo สวยเก๋ (ที่ร้านไม่มียูนิฟอร์ม เธอใส่เสื้อยึด กางเกงขาสั้นและสวมผ้ากันเปื้อนของร้าน) แต่เธอบริการดีเป็นมิตรค่ะ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ และเมนูเป็นภาษาอิตาเลี่ยน ต้องงมกันอีกตามเคย มากันสองครั้งสั้งพิซซ่าอร่อยดีค่ะ และสปาเก็ตตี้ซีฟู้ด คือสุดยอดสุดอร่อย กุ้งสด หอย หมึก ปูสด(แกะกินไม่เป็น ฮา ๆๆ)
House Wine ทั้งสองร้านรสชาติดีค่ะ น้ำเปล่าเย็น ๆ (มีแบบอัดแก๊สและแบบธรรมชาติ) ร้านแรกเก็บบิลที่โต๊ะ ร้านที่สองต้องไปจ่ายที่แคชเชียร์ก่อนออกจากร้าน อ่านเจอในไกด์บุ๊คว่าที่อิตาลี่ไม่จำเป็นต้องให้ทิป เพราะในบิลมีราการชาร์ตเพิ่มที่แรกว่า Servizio หรือ Coperto ที่ไทยน่าจะเรียกว่า Service Charge 10% แต่ที่ฟลอเรนซ์คิด 1-2 ยูโรต่อคนค่ะ
ที่อิตาลีจ่ายบิลรวมเป็นบิลเดียว หนึ่งคนเป็นคนจ่ายแล้วไปหารกันเอาทีหลังและให้ใบเสร็จรับเงินทุกครั้ง ต่างจากเยอรมันที่แยกกันจ่ายเป็นบิล ๆ สิ่งหนึ่งที่สะดุดใจตั้งแต่แรกคือ ไม่ว่าจะเข้าร้านใหนทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านไอครีม หอศิลป์ ฯลฯ ผู้ให้บริการหันหน้ามาพูดกับฉันก่อนเสมอ และหากต้องมีการเจรจาตัดสินใจอะไร จะหันหน้ามาที่ฉันเสมอเช่นกันทั้ง ๆ (รู้สึกตัวพอง) ต่างจากเยอรมนีที่เอาแต่ถามผู้ชาย
ฟลอเรนซ์ นอกจากความไพเราะของชื่อเมืองแล้ว ฉันก็นึกไม่ออกว่าที่นี่มีดีอะไร แต่รู้สึกได้ว่าอยากไปเยือนสักครั้งในชีวิต และโอกาศก็มาถึงหลังจากทั่วโลกหยุดกัน 2 ปีครึ่ง ฟลอเรนซ์อุณหภูมิสูง แดดจัดกว่ามิวนิค เป็นเดือนพักร้อนของสถาบันการศึกษา และหริษัทห้างร้านหลายแห่งด้วย






บริเวณรอบๆโบสถ์มีอาคารเก่าแก่ที่สร้างในสมัยใกล้เคียงหลายหลัง กันมีจุดเด่นคือไม่ใช้ตะปูและโครงสร้างเป็นไม้ เราแวะเย็นแล้วพิพิภัณฑ์ปิด เลยได้เดินรอบสนามหญ้ารอบรูปปั้นน้ำพุเท่านั้น
ห่างจากเมืองมิวนิกออกมาทาง เมืองอูล์มด้วยมอเตอร์เวย์ การเช่ารถยนต์ขับเองอาจจะต้องทำความคุ้นเคยเรื่องจราจรสำหรับคนไทยที่ขับรถฝั่งขวามือนิดหนึ่งค่ะเลนซ้ายรถเร็วขวาขับปรกติ “น้าพุเย็นที่เมือง เบลาบอยเรน เมืองเล็กๆที่มีลำธารสวยไสเขียวขจีพอๆกับสนามหญ้า มานั่งจิบกาแฟดูเป็ดเล่นน้ำหรือปูเสื่อปิกนิกที่สนามหญ้าสวนสาธารณะ หรือเดินชมเมืองที่มีอาคารเก่าแก่สวยงาม สัมผัสความเป็นท้องถิ่นและเงียบสงบน่าแวะมานะคะ 
หากจะเดินเล่นในตัวเมืองที่เป็นศูนย์กลางแล้ว เดินได้ทั้งวันอยากแนะนำให้มาที่ จัตตุรัสวิทัวเลียนปรัสท์ ไปมาสะดวกด้วยรถไฟใต้ดินสถานีโผล่มาหน้าหอหอคอยค่ะหากโชคดีได้ดูตุ๊าตาเต้นระบำ บริเวณเดียวกันมีห้างสรรพสินค้า มีโบสถ์คาทอลิกเซ้นท์ ปีเตอร์ที่สามารถขึ้นชมวิว 360 องศา ค่าปีนหอคอยด้านหลังโบสถ์บุคคลทั่วไป 3 ออยโรค่ะ ( ภายในโบสถ์ฟรี หากไม่มีพิธีสามารถเข้าชมและเดินรอบๆภายในโบสถ์ได้ค่ะ) พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตา ตลาดสดประจำเมืองวิกทัวร์ขายผักผลไม้ อาหาร เสื้อผ้าและอื่นๆมากมาย มีสวนเบียร์ราคาสูงหน่อยตามปรกติเมืองท่องเที่ยวแต่นาลองใช้บริการค่ะ ร้านค้าสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ดีค่ะ และมีโบสถ์บริเวณเดียวกันที่โปรดของฉัน เพราะมีงานแสดงศิลปะติดตั้งจัดแสดงหมุนเวียนตลอดปี ในบางเดือนมีแสดงดนตรีการกุศลด้วย 






อาคารเล็กจากมุมนี้เป็นหอแสดงงานศิลปะ หมุนเวียนทุกสามเดือน เข้าชมฟรีค่ะ
เสน่ห์ของตลาดเปิดท้ายขายของ ไม่ว่าจะเปลี่ยนแล้วกี่มือไม่สำคัญ ที่ฉันชอบคือบรรยากาศและความตื่นเต้นที่เจออะไรๆที่แบบ เตะตาแล้วปล่อยผ่านไปไม่ได้ทั้งราคาก็แฟร์ สำหรับคนซื้อและคนขาย ของบางชิ้นยังใหม่สะอาดปล่อยตลาดเพราะเก็บไว้แล้วรกบ้าน หรือบางชิ้นหมดสมัย หรือของบางชิ้นขายดีกว่านำไปทิ้งเป็นขยะ ของบางชิ้นเป็นสิ่งที่คนซื้อกำลังมองหาและหลายอย่างมีศิลปินมาซื้อเป็นวัสถุดิบนำไปสร้างสรรค์เเป็นผลงานศิลปะ และก็เจอหลายชิ้นที่แบบ ใครจะซื้อ…

วันนี้พยากรณ์อาการบอกว่าแดดออก คือโอกาศทองและวันพิเศษสุดๆวันหนึ่ง หอศิลปะ Pinakothek ไม่ใช่จุดหมาย ฉันออกไปตามหางานเก็บภาพ Street Art ที่อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ดีกว่า มิวนิกขึ้นชื่อมากเรื่องรัฐบาลท้องถิ่นสนับสนุนการแสดงออกในแขนงนี้ นอกจากอนุญาติการอย่างถูกกฏหมายในบางพื้นที่แล้ว ยังมีการว่าจ้างงานเป็นเรื่องเป็นราว เช่นตามใต้สะพานทางด่วน แปลงเป็นที่จอดรถ รัฐบาลได้ค่าจอดรถ ศิลปินได้แสดงผลงานและค่าจ้าง ประชาชนรู้สึกปลอดภัยในการสัญจรดูปลอดภัยและเป็นมิตรด้วย
สถานที่คลาสสิกอย่างทางรถไฟออกจะลำบากและเป็นเขตหวงห้ามแถมเส้นทางยาวเหยียดการนั่งรถไฟชมแบบผ่านๆก็รื่นรมย์ไปอีก ที่หาดูง่ายจะถนนเรียบแม่น้ำอิซาและใต้สะพานและแหล่งทีใหญ่และงานสมบูรณ์มาก ที่ฉันไปมาเมื่อวานคือ Hall of fame, Tumblingstrasse. มีงานแจ๋มๆจากศิลปินหลายคนด้านในเป็นสนามประลองงานและทดสอบฝึกปรือฝีมือ ฉันเจอและพูดคุยกับศิลปินสามสี่คนกำลังเพ้นพ่นงาน และมีบางคนยังคงไม่อยากแสดงตัวปฏิเสธถ่ายรูปทำให้นึกถึงบุคคลิกเพื่อนศิลปินหนึ่งที่ปกปิดหน้าสเมอเวลาเรายกกล้อง

