หลังจากกินข้าวเที่ยงที่ท่าเรือบาร์โธโลเม่ เราต่อเรือมายังท่าเรือซาเล่ใช้เวลาไม่นาน มีเส้นทางเดินต่อไปยังทะเลสาปโอ๊ะแบร์ แบบง่ายๆรถเข็นเด็กเข้าได้เหมาะสำหรับทุกเพศวัย ป่าสนสูงชลูดแสงเงาสวยมาก อากาศชื้นทั้งปีมอสปกคลุมยังเขียวขจีเห็ดป่าขึ้นมาหลายชนิด ถ้าเป็นป่าดิบชื้นอย่างเมืองไทยจินตนาการว่างูและสัตว์แมลงมีพิษยั้วเยี้ยเลย ไม่เห็นมีใครนั่งปิกนิกสมมติฐานเอาเองว่าไม่ใช่คนในพื้นที่แน่ๆจึงมีคาเฟ่บริการสองร้าน ที่วิวสวยที่สุดในโลกก็ว่าได้ ขากลับจากเดินเขาเราแวะชิมเค็กเมล็ดดอกป็อปปี้และกาแฟรสชาติดีทั้งร้อนและเย็น
ทะเลสาปโอ๊ะแบร์มีวิวสวยและใครๆต้องถ่ายรูปคือเงาสะท้อนที่สวยใสขาดใจ เราเจองู Kreuzotto กำลังนอนผึ่งแดดขวางวิวพอดี จริงๆเป็นเรื่องยากที่จะเจองูในประเทศนี้ ถือว่าเรามีบุญ 555…
ทางเดินจากจุดนี้ขึ้นเขาข้ามไปหนึ่งลูกเพื่อไปอีกฟากของทะเลสาปโอ๊ะแบร์เป็นเส้นทางที่ผจญภัย น่าตื่นเต้นและทดสอบนิสัยและน้ำใจเพื่อนร่วมทางได้ไม่น้อย แถวบ้านเรียก “เส้นทางวัดใจ” ทางเดินแคบขอบหน้าผา หินเขาชันและเปียกลื่นยังดีมีเส้นเชือกจับกันลื่นค่ะ วิวสวยและผาชัน รองเท้าเดินป่าหรืออย่างน้อยรองเท้าเล่นกีฬาแนะนำว่าจำเป็น ฟากนี้มีคาเฟ่เล็กบริการเบียร์และน้ำอัดลม และลงเล่นน้ำในทะเลสาปได้ค่ะ
เราเดินต่อไปยังน้ำตกร๊อทบาค 470 เมตรที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสายน้ำตกสูงยาวที่สุดในเยอรมันนี รอบๆเทือกเขาบริเวณนี้ยังมีอีกสองสามสายตกลงเป็นลำธารเล็กๆ ลงมารวมเป็นหนองน้ำก่อนจะจมหายใต้พื้น แล้วไหลรวมลงไปสู่ทะเลสาปโอ๊ะแบร์และเคือะนิก มีเรื่องตลกในการข้ามลำธารเล็กๆเหล่านี้เป็นบททดสอบบางอย่าง นั่งสังเกตุมีวิธีข้ามเช่นไร นักท่องเที่ยวชาวจีนเก็บหินมาทำเป็นสะพานข้าม ลูกเสือและคนที่สวมรองเท้าเดินป่าเดินลุยน้ำผ่านไปหน้าตาเฉย ชาวตะวันตกบางคนถอดรองเท้า บางคนกระโดดข้าม บางคนเดินหาที่เหมาะสมก้าวข้ามฯลฯ
ทุ่งหญ้าดอกบานสะพรั่ง แมลง ผึ้ง ผีเสื้อ แสงแดด โขดหินและหน้าผาชันสูงชลูดของเทือกเขา Berchtesgaden Alps. สวรรค์บนดินอย่างในหนัง Sound of music.




ไม่ว่าจะเดินทางมาหอศิลป์ บุคไคล์ม ด้วยทางเรือสำราญหรือทางรถไฟ ก็ต้องเดินผ่านหมู่บ้าน แบร์นเรียด์ เราเดินทางมาในเดือนกรกฎาคม หน้าร้อนแดดจัดฉันเดินสวมหมวก กางร่มใส่แหว่นดำกันแดด ท้องฟ้าสีคราม ทะเลสาปสีเขียว หมู่บ้านประดับตกแต่งด้วยดอกไม้สวยงาม สีสันสดใส บ้านหลายหลังยังครึ่งปูนครึ่งไม้ ในสวนปลูกแอปเปิ้ล ลูกแพร์ แบ่งสวนปลูกผักและสมุนไพรก็มี เราแวะเข้าโบสถ์ประจำหมู่บ้าน แวะซื้อน้ำเย็นที่ร้านขายของชำ เดินผ่านเสาหลักหมู่บ้าน เสาหลักนี้สูงเกือบสามสิบเมตรติดธงแสดงให้เห็นว่าหมู่บ้านมีอะไรที่เห็นมีร้านอาหาร ท่าเรือ ร้านขนมปัง ช่างทำกุญแจ เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น หมู่บ้านค่อนข้างสงบเงียบน่าอยู่ ถึงแม้จะเป็นเมืองที่มีรถไฟผ่าน นักท่องเที่ยวก็ไม่พลุกพล่านยังคงกระจุกตัวกันแค่ริมทะเลสาปมากกว่า นอกจากเอ่ยขอซื้อน้ำดื่มก็ไม่ได้เอ่ยปากสนทนากับคนแปลกหน้าเลย จะมียิ้มหวานให้กับคนเดินผ่าน คงไม่ใช่คนท้องถิ่นแน่ๆ
เป็นหนึ่งในห้าทะเลสาปน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมันนี ทะเลสาปสตาร์นแบร์ก ห่างจากมิวนิกประมาณ 25 กิโลมตร เรานั่งรถไฟมาลงที่สถานีสตาร์นแบร์กเพื่อต่อเรือสำราญไปเที่ยวหอศิลป์ บุคไคล์ม เรือสำราญบริการเฉพาะช่วง เมผษายน ถึงตุลาคมเท่านั้นนะคะ หากจะขับรถมาก็สะดวกอีกทาง ไม่อยากนั่งเรือมาเดินป่าหรือปั่นจักรยานรอบทะเลสาปยังได้แค่ 47 กิโลเอง

ครั้งแรกที่มาที่นี่เพราะแฟนเอาใจ เห็นว่าตอนนั้นฉันกำลังทำโปรเจค สตรีทอาร์ทที่เชียงใหม่ และในปีนั้นที่บูคไคล์ม มิวเซียมจัดแสดงนิทรรศการ สรีทอาร์ทอยู่ด้วย (นิทรรศการหมุนเวียนผ่านไปแล้วแต่ปัจจุบันยังมีผลงานหลายชิ้นให้ชมที่สนามหน้าและภายในอาคารค่ะ รับรองตื่นตาตื่นใจ)






อุทธยานธรณีผาชัน สามพันโบกกินเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก บางช่วงเป็นหินก้อนใหญ่ตั้งกระหง่านนักธรณีวิทยาเรียก “เสาเฉลียง” คือปฏิมากรรมเสาหินธรรมชาติลักษณะคล้ายดอกเห็ดเกิดการผุพังอยู่กับที่และการกัดกร่อนของหินทรายอายุกว่า 100 ล้านปี กระจัดกระจายเต็มไปหมด อุทยานฯได้นับเสาเฉลียงน้อยใหญ่ที่สวยงามกว่าสิบเสา ทางเข้าเสาเฉลลียงยักษ์ Giant Rock Pillars
จริงๆบริเวณที่เรียกว่าสามพันโบก จะอยู่ตอนกลางของเส้นทางท่องเที่ยวที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 30 ตารางกิโลเมตรจากเหนือจรดใต้ ตามแนวไหลผ่านของแม่น้ำโขง เราอยากจะแนะนำว่าหากมาแล้ว เพื่อซึมซาบกับภูมิประเทศอันสวยงามและเห็นวิถีชีวิตการจับปลาของขาวบ้านแถบนี้ อยากให้ขับรถมาจอดและขึ้น-ลงเรือที่หาดสลึงค่ะ แต่ถ้าอยากจะดูแค่ลานหลุมบ่อก็แวะมาที่แก่งสามพันโบกได้เลย มีลานจอดรถและร้านอาหาร ร้านค้าสวัสดิการต่างๆแล้วจะเดินลงมาหรือนั่งวินมอร์เตอร์ไซด์ลงมาที่ลานโบก ส่วนตัวที่คิดว่าช่วงเวลาไม่ร้อนมากอย่างตอนเช้าและช่วงบ่ายแก่ๆเหมาะมาเที่ยวคะ
เราลงเรือที่หาดสลึง ค่าบริการเป็นธรรมและแจ้งไว้ที่กระดานชัดเจน เหมาลำ 1,000 บาทและจะมีพี่มัคคุเทศน์ลงเรือมาด้วยเป็นลูกมือคนขับและมาค่อยอธิบาย พูดคุยได้ความรู้ แม้จะฟังภาษาอีสานออกบ้าง เอออออไปตามเรื่องบ้าง ไม่มีราคาตายตัวสำหรับพี่เขาแนะนำตามแต่สินน้ำใจคะ เรามาต้นเดือนเมษายนปีนี้น้ำเยอะเนื่องจากจีนกำลังสร้างเขื่อนทำให้หาดสลึงจมน้ำ เรือเราขับทวนน้ำขึ้นมาที่ ปากบ้องเขตหมู่บ้านสองคอน พี่มัคคุเทศนืยังบอกว่าน้ำสูงตลิ่งที่เคยเห็นตระหง่ายเป็นสิบเมตรจึงเหลือประมาณครึ่ง “ปากบ้อง” ตรงนี้เป็นจุดที่แม่น้ำโขง แคบที่สุด เป็นหน้าผาหินที่เกิดจากรอยแยกตัวของแผ่นหินทรายลักษณะเหมือนคอขวด ส่วนที่แคบที่สุดวัดได้ประมาณ 56 เมตร

และจุดจอดเรือสุดท้ายคือแก่งสามพันโบก พระอาทิตย์ตกดินพอดี บริเวณนี้หินจะเป็นหินทรายและคนละประเภทกับแก่งหินสีโทนสีก็ต่างกัน แก่งสามพันโบกออกสีชมพู สีโอรส สีครีมหวานโรแมนติกมาก อย่างที่บอกไว้ว่าปรากฎการน้ำวนธรรมชาติขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง กัดเซาะหินทรายในช่วงหน้าน้ำ และพอน้ำลดเราจึงเห็นทั้งเป็นโขดแนวหินตั้งตระงานแบบ แคนยอน และเป็นลานหลุม และบ่อที่มีน้ำขังจากน้ำใต้พื้นดินเป็นส่วนหนึ่งอันมหัศจรรย์ของแม่น้ำอันยิ่งใหญ่ของโลกสายนี้ที่เรียกว่า .”แม่โขง”






