HIKING Öbersee – Röthbachfall เดินเขา ทะเสสาปโอ๊ะแบร์ น้ำตกร็อทบาค

หลังจากกินข้าวเที่ยงที่ท่าเรือบาร์โธโลเม่ เราต่อเรือมายังท่าเรือซาเล่ใช้เวลาไม่นาน มีเส้นทางเดินต่อไปยังทะเลสาปโอ๊ะแบร์ แบบง่ายๆรถเข็นเด็กเข้าได้เหมาะสำหรับทุกเพศวัย ป่าสนสูงชลูดแสงเงาสวยมาก อากาศชื้นทั้งปีมอสปกคลุมยังเขียวขจีเห็ดป่าขึ้นมาหลายชนิด ถ้าเป็นป่าดิบชื้นอย่างเมืองไทยจินตนาการว่างูและสัตว์แมลงมีพิษยั้วเยี้ยเลย ไม่เห็นมีใครนั่งปิกนิกสมมติฐานเอาเองว่าไม่ใช่คนในพื้นที่แน่ๆจึงมีคาเฟ่บริการสองร้าน ที่วิวสวยที่สุดในโลกก็ว่าได้ ขากลับจากเดินเขาเราแวะชิมเค็กเมล็ดดอกป็อปปี้และกาแฟรสชาติดีทั้งร้อนและเย็น

ทะเลสาปโอ๊ะแบร์มีวิวสวยและใครๆต้องถ่ายรูปคือเงาสะท้อนที่สวยใสขาดใจ เราเจองู Kreuzotto กำลังนอนผึ่งแดดขวางวิวพอดี จริงๆเป็นเรื่องยากที่จะเจองูในประเทศนี้ ถือว่าเรามีบุญ 555… ทางเดินจากจุดนี้ขึ้นเขาข้ามไปหนึ่งลูกเพื่อไปอีกฟากของทะเลสาปโอ๊ะแบร์เป็นเส้นทางที่ผจญภัย น่าตื่นเต้นและทดสอบนิสัยและน้ำใจเพื่อนร่วมทางได้ไม่น้อย แถวบ้านเรียก “เส้นทางวัดใจ” ทางเดินแคบขอบหน้าผา หินเขาชันและเปียกลื่นยังดีมีเส้นเชือกจับกันลื่นค่ะ วิวสวยและผาชัน รองเท้าเดินป่าหรืออย่างน้อยรองเท้าเล่นกีฬาแนะนำว่าจำเป็น ฟากนี้มีคาเฟ่เล็กบริการเบียร์และน้ำอัดลม และลงเล่นน้ำในทะเลสาปได้ค่ะ

เราเดินต่อไปยังน้ำตกร๊อทบาค 470 เมตรที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสายน้ำตกสูงยาวที่สุดในเยอรมันนี รอบๆเทือกเขาบริเวณนี้ยังมีอีกสองสามสายตกลงเป็นลำธารเล็กๆ ลงมารวมเป็นหนองน้ำก่อนจะจมหายใต้พื้น แล้วไหลรวมลงไปสู่ทะเลสาปโอ๊ะแบร์และเคือะนิก  มีเรื่องตลกในการข้ามลำธารเล็กๆเหล่านี้เป็นบททดสอบบางอย่าง นั่งสังเกตุมีวิธีข้ามเช่นไร นักท่องเที่ยวชาวจีนเก็บหินมาทำเป็นสะพานข้าม ลูกเสือและคนที่สวมรองเท้าเดินป่าเดินลุยน้ำผ่านไปหน้าตาเฉย ชาวตะวันตกบางคนถอดรองเท้า บางคนกระโดดข้าม บางคนเดินหาที่เหมาะสมก้าวข้ามฯลฯ

ทุ่งหญ้าดอกบานสะพรั่ง แมลง ผึ้ง ผีเสื้อ แสงแดด โขดหินและหน้าผาชันสูงชลูดของเทือกเขา Berchtesgaden Alps. สวรรค์บนดินอย่างในหนัง Sound of music.

Munchen-Konigssee ทะเลสาปเคือะนิก(ทะเลสาปแห่งพระราชา)

ก่อนซื้อตั๋วเดินทางต้องเช็คพยากรณ์อากาศวันต่อวันกันเลยนะ ถึงแม้จะเป็นหน้าร้อนก็ไม่รับประกันว่าฟ้าเปิดทุกวันเมื่อวานฝนตกเช้ายันเย็นหนาวมาก ดังนั้นเช็คสภาพอากาศก่อนหนึ่งวันเป็นเรื่องจำเป็น เราโดยสารรถบัสไป-กลับมิวนิก  ทะเลสาปใช้เวลา 6 ชั่วโมงค่ะหากไปเจอกับฝนทำใจยากที่จะบอกตัวเองว่า ” ใส่เสื้อมาผิดตัว ” เบาะนุ่มๆคนขับเปิดเพลงเบาๆ สามชั่วโมงกับทิวทัศน์สองข้างทางแป็ปเดียวจริงๆ รถบัสออกจากสถานีขนส่งกลางตรงเวลาเป๊ะ ถึงสถานีปลายทางทะเลสาปเคือะนิกก็เป๊ะเช่นกัน

ลานจดรถเต็มขนัดและเดินๆมุ่งหน้าไปท่าเรือก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว มากจากทั่วสารทิศทั้งเอเซียและตะวันตก รู้สึกคนจีนจำนวนไม่น้อยเลย  ถัดไปหน่อยกำลังก่อสร้างอีกสองสามปีคงจะมีกระเช้าไฟฟ้าชมวิวยอดเขาด้วย เราเดินมาต่อคิวซื้อตั่วล่องเรือที่ท่าคิวยาวเช่นกัน(เห็นว่าซื้อออนไลน์ได้แต่ลองแล้วไม่เวิร์ก) ปลายทางมีสองแห่งให้เลือกราคาไป-กลับ ลงที่ท่าเรือโบสถ์บาโธลาเม่  ผู้ใหญ่ 14.80 ออยโร ลงท่าเรือซาเล่ 17.80 ออยโร(แวะพักกินข้าวเที่ยงที่ร้านท่าเรือบาโธลาเม่ ปลาเทราส์อบเนยอร่อยมาก) ทั้งสองท่าเรือมีตั๋วเด็ก ตั๋วยกครัวปิดบอร์ดประกาศไว้ชัดเจนไว้ แถมมีตั๋วสำหรับสุนัขเหมาจ่ายด้วย 3.50 ออยโร

เรือที่เดินในทะเลสาปแห่งนี้ใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแตปี คศ.1909 ล้ำสมัย สภาพธรรมชาติแวดล้อมยังสมบูรณ์และสวยงาม แม้มีด้วยกันตั้ง18 ลำ วิ่งรอกไปมาทุกวันกว่าร้อยปี ทะเลสาปไสเขียวมรกต โอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงเฉียดฟ้า อากาศเย็นสดชื่น เครื่องยนต์เงียบมาก เสียงที่ได้ยินเฉพาะเสียงฮือฮาของนักท่องเที่ยว เสียงลั่นชัตเตอร์และเสียงไกด์ประจำเรือเล่าโน้นนี่

กลางทะเลสาบนายเรือเป่าแตรโชว์พาวเวอร์เสียงสะท้อนก้องกังวาลเจ็ดชั้น เคลิ้มเลย กระทั่งเป่าเสร็จเดินขอทริปกันตรงๆไม่อ้อมค้อมทั่วเรือเลยพ่อคุณ หุหุ

Bernried Village/Buchheim Museum

ไม่ว่าจะเดินทางมาหอศิลป์ บุคไคล์ม ด้วยทางเรือสำราญหรือทางรถไฟ ก็ต้องเดินผ่านหมู่บ้าน แบร์นเรียด์ เราเดินทางมาในเดือนกรกฎาคม หน้าร้อนแดดจัดฉันเดินสวมหมวก กางร่มใส่แหว่นดำกันแดด ท้องฟ้าสีคราม ทะเลสาปสีเขียว หมู่บ้านประดับตกแต่งด้วยดอกไม้สวยงาม สีสันสดใส  บ้านหลายหลังยังครึ่งปูนครึ่งไม้ ในสวนปลูกแอปเปิ้ล ลูกแพร์ แบ่งสวนปลูกผักและสมุนไพรก็มี เราแวะเข้าโบสถ์ประจำหมู่บ้าน แวะซื้อน้ำเย็นที่ร้านขายของชำ เดินผ่านเสาหลักหมู่บ้าน เสาหลักนี้สูงเกือบสามสิบเมตรติดธงแสดงให้เห็นว่าหมู่บ้านมีอะไรที่เห็นมีร้านอาหาร ท่าเรือ ร้านขนมปัง ช่างทำกุญแจ เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น หมู่บ้านค่อนข้างสงบเงียบน่าอยู่ ถึงแม้จะเป็นเมืองที่มีรถไฟผ่าน นักท่องเที่ยวก็ไม่พลุกพล่านยังคงกระจุกตัวกันแค่ริมทะเลสาปมากกว่า นอกจากเอ่ยขอซื้อน้ำดื่มก็ไม่ได้เอ่ยปากสนทนากับคนแปลกหน้าเลย จะมียิ้มหวานให้กับคนเดินผ่าน คงไม่ใช่คนท้องถิ่นแน่ๆ

Starnberger See

เป็นหนึ่งในห้าทะเลสาปน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมันนี ทะเลสาปสตาร์นแบร์ก ห่างจากมิวนิกประมาณ 25 กิโลมตร เรานั่งรถไฟมาลงที่สถานีสตาร์นแบร์กเพื่อต่อเรือสำราญไปเที่ยวหอศิลป์ บุคไคล์ม เรือสำราญบริการเฉพาะช่วง เมผษายน ถึงตุลาคมเท่านั้นนะคะ หากจะขับรถมาก็สะดวกอีกทาง ไม่อยากนั่งเรือมาเดินป่าหรือปั่นจักรยานรอบทะเลสาปยังได้แค่ 47 กิโลเอง

เราจองแพ็กเกจเดย์ทริป นั่งรถไฟ ล่องเรือสำราญและเข้าชมหอศิลป์ จองตั๋วและวางแผนเที่ยวได้ที่นี่ค่ะ http://www.seenschifffahrt.de ล่องเรือตอนเช้าอากาศเย็นสบาย สองฝั้งริมน้ำสวยงามด้วยป่าไม้ รีสอร์ท บ้านและสวนส่วนตัว กีฬาทางน้ำ และปาร์ตี้ริมฝั่งน่าสนุกมาก ห่างออกไปหน่อยสามารถมองเห็นบ้านพักริมน้ำ(ปราสาท)ขององค์ประมุขไทยรัชกาลที่10 อยู่ลิบๆ ภายในเรือบริการอาหารและเครื่องดื่ม ชิมเค้กอร่อยและกาแฟคนล่ะถ้วย ในวันเดินทางแดดจัดสมาราถเห็นวิวเทือกเขาแอล์ปด้วยค่ะ ขากลับเรานั่งบนด่านฟ้าของเรือจิปเบียร์เย็นๆชื่นใจมาก ผิวนี่เกรียมสีชมพูเป็นกุ้งเผากันเลย

Buchheim Museum der Phantasie

ครั้งแรกที่มาที่นี่เพราะแฟนเอาใจ เห็นว่าตอนนั้นฉันกำลังทำโปรเจค สตรีทอาร์ทที่เชียงใหม่ และในปีนั้นที่บูคไคล์ม มิวเซียมจัดแสดงนิทรรศการ สรีทอาร์ทอยู่ด้วย (นิทรรศการหมุนเวียนผ่านไปแล้วแต่ปัจจุบันยังมีผลงานหลายชิ้นให้ชมที่สนามหน้าและภายในอาคารค่ะ รับรองตื่นตาตื่นใจ)

การเดินทางมาพิพิธภัณฑ์จากมิวนิกได้หลายทางแต่ขอแนะสองทางคือ ด้วยรถไฟ S Bahn สาย 6 มาลงที่สตานแบร์ก Starnberg Station เพื่อต่อเรือสำราญที่  Starnberg See ในช่วงเมษายน -ตุลาคม ของปีเท่านั้น ตรวจสอบตารางเดินเรือและซื้อตั๋วที่นี่ค่ะ Bavarian lakes  จากท่าเรือเดินต่ออีกประมาณกิโลเมตรผ่านหมู่บ้านมายังหอศิลป์

หรือจะนั่งรถไฟยิงยาวจากมิวนิกไปลงที่สถานี แบร์นรีด Munich – Bernried จองตั๋วและวางแผนการเดินทางเช็คจากเว็ปไซด์ www.reiseauskunft.bahn.de ตอนซื้อตั๋วเข้าชมหอศิลป์โชว์ตั๋วรถไฟได้ส่วนลดคนละหนึ่ง ออยโร แน่ะ(ปรกติก 8.50 ออยโร) จากสถานีมาหอศิลป์เดินผ่านหมู่บ้านประมาณสองกิโลเมตรหรือแท็กซี่ประมาณ 7 ออยโรค่ะ

ความพิเศษของหอศิลปะแห่งนี้ประกอบด้วยเรื่องเด่นทางด้าน สถาปัยกรรมที่ออกแบบได้ล้ำสมัยในด้านสิ่งแวดล้อม หอศิลป์ตั้งรายล้อมด้วยสวนป่าร่มรื่นด้านหลังเป็นเนินเขา ด้านหน้าริมทะเลสาปโรแมนติในความรู้สึกของเรา และสุดท้ายคือเป็นหอศิลป์ที่จัดแสดงงานศิลปะแนวอิเพรสชั่นนิส โดยเฉพาะทั้งหมุนเวียนและนิทรรศการถาวร รวมถึงเป็นสถาที่เก็บสมบัติของ แฮร์โลธาร์ กุนเธอร์ บุคไคล์ม ศิลปิน นักสะสมงานศิลปะ นักเขียนชื่อดังของเยอรมันนี

ไอเดียสร้างสรรค์จากการดูงานศิลปะที่นี่ ปฏิมากรรมจากเศษไม้ เศษเหล็กและขยะ หุ่นปั้นคาแร็กเตอร์ตลกและการมีส่วนร่วมองผู้ชมงาน ห้องปฏิบัติการให้เด็กๆสนุกและเป็นการปลูกฝังอีคิว นิทรรศการหมุนเวียน วัตถุโบราณล้ำค่าหลายชิ้นจากเอเซีย(พระพุทธรูปไม้ลงรักปิดทอง เครื่องเขินและงานไม้อีกหลายชิ้นไม่แน่ใจว่ามาจากพม่าหรือทางเหนือบ้านเรา) แอฟริกา เครื่องแก้วอาร์ทนูโว่ ฯลฯ ร้านของขายที่ระลึกทีงานดิไซด์แปลกๆน่าซื้อติดมือ

ส่วนตัวชื่นชอบที่จะมาที่นี่เอามากๆ แวะมาทุกครั้งต่อเติมพลังสร้างสรรค์และพักผ่อนจิตใจ ชอบชานที่ยื่นทอดยาวออกไปให้เห็นวิวสวยของทะเลสาบ ตัวอาคารที่ออกแบบเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

 

 

Thailand to Germany

Over Munich City/ before landing

การเดินทางมาเยอรมันนีนั้นสะดวกมากโดยเฉพาะปัจจุบันมีสายการบินโลว์คอส และการโปรโมชั่นมากมายจากสายการบินอาหรับ คราวนี้เราบินด้วยสายการบิน เอทิแฮท ซื้อตั๋วตั้งแต่ยังไม่ขอวีซ่าด้วยซ้ำ ออกจะมั่นใจกว่าวีซ่าต้องผ่านแน่ๆ ทั้งๆทั้รู้ว่าบัตรโปรโมชั่นมีเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงอะไรยุ่งยากและต้องจ่ายเพิ่มแพงมาก การขอวีซ่าไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วแค่ใบจองเที่ยวบินก็เพียงพอแล้ว

เรายื่นเรื่องขอวีซ่าเชงเกนประเภท “เยี่ยมเยียน” ที่สถานกงศุลเยอรมันนีประจำจังหวัดเชียงใหม่ เอกสารที่ต้องจัดเตรียมเกินดีกว่าขาดทุกอย่างตามเว็ปไซด์สถานทูตเยอรมันนีกำหนด กรอกแบบฟอร์มออนไลน์และปริ้นสำเนาออกมาเพื่อสะดวกยิงบาร์โค้ดตอนยื่นเอกสารและเป็นการประหยัดค่าธรรมเนียมพันบาท ปัจจุบันที่สถานกงศุลฯมีสัมภาษณ์ด้วย เจ้าหน้าที่ทางเชียงใหม่เป็นมิตรและบรรยายากาศผ่อนคลายกว่าที่กรุงเทพ 55.. ฝากนิดหนึ่งเกี่ยวกับรูปถ่ายประกอบ ต้องเป๊ะตามคุณลักษณะและห้ามแต่งภาพ แม้รูปจะเป็นฝ้าหน้าจะมีสิวก็ห้ามแตะ เพราะเครื่องสแกนมันจะไม่ยอมอ่านและต้องเสียเงินเสียเวลาอย่างข้าพเจ้าที่ดันไปลบเม็ดสิวเข้า
เพิ่งรู้ว่าใบเชิญจากเยอรมันนีและประกันการเดินทางสัมพันธ์กับระยะเวลาการพำนักที่สถานทูตอนุมัติวีซ่าโดยตรง การยื่นเอกสารที่บ่งชี้พันธะที่ประเทศไทยก็ทำให้การอนุมัติผ่านมีน้ำหนักเช่นกัน

การบินภายในประเทศด้วยสายการรบินที่เป็นพันธมิตรกับสายการบินอินเตอร์ช่วยประหยัดเวลา ลดความยุ่งยากเรื่องสำภาระและสะดวกสบายในการต่อเครื่องเอามากๆแนะนำค่ะ

อาหารถูกปาก มีหนังถูกใจให้ดู การเดินทางราบเรียบไม่ระทึกกับสภาพอากาศ เครื่องลงที่สนามบินมิวนิกเอาตอนเช้าที่อาคารใหม่ เดินตามก้นแขกอาหรับที่มากันยกครัวเป็นกลุ่มๆ เวลาต่อแถว ตม. เราพยายามแยกตัวออกมาจะได้ไม่รอนาน จริงๆด้านข้างตู้ตม. มีเครื่องตรวจพลาสปอร์ตอัตโนมัติอยากลองใช้ แต่กลัวว่าหากขัดข้องต้องมาต่อคิวยาว ไว้ลองคราวหน้าจะลองดูและมาเล่าให้ฟังค่ะ สิ่งสำคัญที่เราควรติดตัวเป็นแผ่นกระดาษไว้ ตม.มักถามหาคือตั๋วเดินทางแสดงขากลับ เพราะวีซ่าระบุการพำนักค่อนข้างชัดเจน เจ้าหน้าที่จะย้ำในจุดนี้มาก เพราะมีผลกระทบในการขอวีซ่าครั้งถัดไป เสร็จจากตม. ขึ้นขบวนรถไฟใต้ดินเพื่อไปรับกระเป๋าเดินทาง ออกจากตู้รถไฟเป็นทางเดินเพดานใต้ๆ ผนังสีขาวๆสะอาดๆทำให้นึกถึงบางฉากในหนังเอเลี่ยนที่เหล่านักวิทยาศาสตร์เดินไปเดินมา มีกล้องวงจรปิดทุกขณะ กระเป่าเดินทางรับได้ตามสายพานที่ระบุเที่ยวบินชัดเจนหรือหมายตาผู้โดยสารที่เราเห็นบนเครื่องเอาไว้รับรองไม่หลงค่ะ รับกระเป๋าเสร็จแล้วเดินผ่านเจ้าหน้าที่”อย่ายิ้มเด็ดขาด” ไม่งั้นคุณจะโดนเรียก(สุ่ม)ตรวจ เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ที่นี่เป็นเสือยิ้มยาก การยิ้มเป็นเรื่องแปลก

เข้าเมืองด้วยรถไฟ ตั๋วซื้อได้จากตู้อัตตโนมัติ ขั้นตอนมีภาษาอังกฤษชัดเจน ไฮไลท์อยู่ที่ซื้อแพกเก็จสำหรับ ห้าคน มีใครเก้ๆกังๆแถวนั้นก็เรียกมาแชร์เลยคะ ประหยัดโขเลย อ้อตอนขึ้นพยายามนั่งใกล้ๆกันด้วยนะคะ เผื่อมีเจ้าหน้าที่มาตรวจ ชี้โบ้ชี้เบ้ได้ทันไม่ยุ่งยากอธิบาย

 

Accommodation in Venice, Italy

DSCN1149_editedความประทับใจจากการท่องเที่ยวคือจุดประสงค์หลักสำหรับ”ไปไหนดี”นำมาเล่าสู่กันฟังคะ เช่นเดียวกับการเลือกห้องพักครั้งแรกจากเว็ปไซด์ Airbnb เป็นความตั้งใจของเราว่าอยากพักในเกาะเวนิสเพื่อสัมผัสทุกบรรยากาศทุกเวลาของเมือง เราได้ที่พักที่เจ้าของเป็นหนุ่มหล่อ หน้าตาดีและเป็นมิตรมาก แบ่งบ้านให้เช่าเป็นห้องๆด้วยกันห้าห้อง เราได้ห้องนอนใหญ่มีห้องน้ำในตัว

IMG_20160708_083217_editedตอนเช้าเจ้าบ้านชื่อ Lorenzo ออกไปซื้อขนมปังและต้มกาแฟหอมกรุ่น พร้อมพูดคุยและให้คำแนะนำเรื่องกินเรื่องเที่ยวและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยและให้แผนที่เรามาด้วย การได้รับคำแนะนำแบบนี้ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมาก จริงๆนะคะDSCN1325_edited

เวลาจองห้องพักในช่วงหน้าร้อนอยากแนะนำให้จองห้องแอร์ไปเลย เพราะจะทำให้เราหลับสบาย ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ อารมณ์ดีสำหรับเดินทางต่อไป  เมืองใหญ่อาคารปลูกชิดกันอากาศอบอ้าวมากนอนไม่ได้เลย ถึงจะมีพัดลมบริการก็เถอะ อีกอย่างคือห้องแอร์จะเงียบ ไร้เสียงและไร้กลิ่นต่างๆจากด้านนอกคะ ที่นี่ราคาห้องรวมอาหารเช้าด้วยดีอย่างคือหมดกังวลและพร้อมลุย แต่เราจ่ายภาษีต่างหากจากค่าห้องพัก

Munich-Venice by Air

เห็นโปรแกรมทัวร์ยุโรปสิบวันเจ็ดประเทศอะไรแบบนี้จากบริษัททัวร์ในเมืองไทยแล้วนึกสงสัยขึ้นมาทุกที ว่าเป็นไปได้หรือคิดว่าคงเหนือยน่าดูเลย การเที่ยวก็เหมือนเรื่องส่วนบุคคลชอบของใครของมัน จากประสบการณ์การเที่ยวนี่เหนื่อยเอาการ เอาเป็นว่าความสนุกที่แบ่งปันใช้ปรับแต่งวางแผนการเดินทางเที่ยวเองได้คะ สุดท้ายแล้วก็มีความสุขมากๆ เราเริ่มทริปจากเมืองมิวนิกด้วยสายการบินต้นทุนต่ำ แอร์ Transavia บินตรงจากมิวนิกถึงสนามบินเวนิสเลยคะ เราเจาะจงบินตอนกลางวันเพราะจะได้เห็นวิวสวยๆของเทือกเขาแอลป์สมัยนี้การเดินทางวางแผนเองจองทุกอย่างเองง่ายมาก โดยมีหลักการแค่สามอย่างคือ หนึ่ง มีบัตรเครดิต สองมีความรู้เรื่องไอที และสามมีแฟนที่เก่งเรื่องการ”เสาะข้อมูล” อิอิDSCN1095_edited

เราจองออนไลน์ Venezia CityPass แบบ 3 วัน รวมค่าโดยสายรถบัสจากสนามบิน -เรือยนต์ข้ามฟากของ ACTV และ Museums คะ ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.veneziaunica.it  เป็นการเตรียมความพร้อมและลดความยุ่งยากในการเดินทางได้ดีมาก เมื่อถึงสนามบินรับกระเป๋าเสร็จหาทางออกจะมาขึ้นรถบัส เค้าเตอร์ที่สนามบินพนักงานของบริษัทเดินรถหน้าไม่รับแขกเลยเรายืนรอตั้งสิบนาทีทำเป็นมองไม่เห็น เราเลยหาทางเดินมาขึ้นรถเองที่จอดรอ การมีแพ็จเกจอินเตอร์เน็ตระหว่างประเทศเราจึงสามารถเช็คตารางเดินรถ ได้สะดวกมากๆเช่นกันคะ และเป็นเรื่องดีที่เราจองที่พักผ่าน Airbnb ได้โฮสท์ที่น่ารักบอกข้อมูลเดินทางให้เสร็จสรรพ และสื่อสารกันตลอดการเดินทางDSCN1106_edited

ท่าเรือดูเหมือนสร้างแบบง่ายๆนะคะแต่เทคโนโลยีเริดส์มาก ระบบซื้อและสแกนบัตรโดยสาร และตารางเดินเรือและเจ้าหน้าที่หน้าตาดีทั้งนั้นคะ ขึ้นเรือข้ามมาเกาะเวนิสคนค่อนข้างแน่นคะ วิวสวยมาก เช็คอินอย่างปลอดภัยโฮสท์เจ้าของมารอรับ แล้วตามก้นเดินแซกแซกถึงที่พักเลย คนเยอะมาก ถึงเกาะเวนิสต้องเดินเท่านั้น เตรียมรองเท้าคู่ใจ หมวกใบเก๋และแว่นกันแดดมาด้วยนะคะDSCN1119_edited

Eat Out

IMG_20160804_134146เพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ได้แนะนำร้านอาหารอร่อยที่ใหนเลยในเมืองมิวนิก นั่นคงเป็นเพราะว่ามาเยี่ยมแฟนเลยทำอาหารกินเองซะส่วนใหญ่ จะมีบ่อยที่ออกไปสวนเบียร์หลังเลิกงานและไปบาร์บีคิวบ้านเพื่อน  IMG_20160804_134152อย่างเวลาออกไปเที่ยวเองข้างนอกส่วนมากจะซื้อขนมปังและซื้อแฮม ชีส หรือผักจากซุปเปอร์มาร์เก็ตทำเป็นแซนวิสนำติดตัวไปกินด้วย อร่อยถุกปากถูกใจ สบายกระเป๋า

เคยไปซื้อข้าวกลางวันกินที่ร้าน Dinos ถูกจริงแต่รสชาติไม่ถูกใจ แต่ที่ชอบมากๆคือแวะดื่มกาแฟ เค็กและไอศรีมมาหลายร้านคือแบบนี้อร่อยแน่ๆ ส่วนจากประสบการณ์หากซื้อกินจากข้างนอกเช่นแซนวิสหรือขนมปังพร้อมกินในราคาสบายกระเป๋าและรสชาติถูกปากแนะนำร้านใน U-Bahn, S-bahn หรือตาม Kiosh คะIMG_20160629_132612_edited

อาหารที่สวนเบียร์จะขายไม่ก็ชนิดที่เป็นที่นิยมของคนเยอรมันคือขนมปัง Pretsel แบบชิ้นใหญ่ เล็กก็มีกินกับครีมชีสบด  ขาหมูทอด ซี่โครงย่าง ไก่ย่าง ปลาย่างและสลัดคะIMG_20160801_203544_edited IMG_20160801_203004_edited

หอคอย Olympic Tower, Munich

DSCN0585_edited_editedหอคอยโอลิมปิก คือหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำเมืองของมิวนิก ไม่ว่ามองจากมุมใหนของเมืองด้วยความสูง 291 เมตรก็จะเห็นหอคอยนี้โดดเด่นเป็นสง่าเฉียดฟ้า สร้างเมื่อตอนมิวนิกเป็นเจ้าภาพงานแข่งขันโอลิมปิก ปี 1972 และยิ่งไปกว่านั้นวัสดุที่ใช้คือเหล็กและกระจกชนิดพิเศษ นำสมัยมากในยุคนั้น โอลิมปิก พาร์คก่อสร้างด้วยงบมหาศาล ปัจจุบันใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าพอสมควรในการจัดกิจกรรมและการแข่งขันกีฬาต่างๆ ส่วนหอคอยมีรายได้จากค่าบัตรขึ้นชมวิวและ ร้านอาหาร ในแต่ละปีมีนักท่องขึ้นชมวิวเยอะมากDSC01015_edited

หอคอยเปิดบริการให้ขึ้นชมวิวของเมืองได้ตั้งแต่เวลา 9โมงเช้ายันเที่ยงคืน สะดวกขึ้น-ลงด้วยลิปที่ความเร็วแค่กลั้นหายใจ 7 เมตรต่อวินาทีขึ้นถึงยอดแทบไม่รู้สึกตัว วิวจากมุมสุงนี้มองเห็นได้สุดลูกหูลูกตาและดีกว่าหอคอยโบสถ์กลางเมืองคะ แถมด้วยวิวระยะล่างสุดคือหลังคาอาคารโอลิมปิก พาร์คโยงกันแลคล้ายใยแมงมุมหน้าหนาวโดนหมอกเช้า แต่ดูจากด้านล่างบางคนบอกเหมือนปลากระเบน ส่วนตัวเห็นเหมือนทอดแหมากกว่า ด้านบนยังมีกล้องส่องทางไกลและตู้ปั้มเหรียญเป็นที่ระลึก มีพิพิธภัณฑ์สำหรับแฟนเพลงพันธู์ร็อกและชั้นล่างถัดลงมาเป็นร้านอาหาร(เราไม่ได้แวะเลยเนื่องด้วยต้องจองโต๊ะล่วงหน้าเท่านั้นคะ)