ที่พักในเกียวโตมีหลายแบบให้เลือกนะคะ ต้องทำการบ้านหนักนิดหนึ่ง จะแบบเรียวกังที่ดัดแปลงให้เหมาะสมกับแขกเข้าพัก ด้วยสาธารณูปโภคทันสมัยอย่าง ikoi-no-ie ryokan ที่บอกไว้โพสต์ก่อนหน้าหรือ เอาแบบประหยัดสะดวกสบาย แต่ต้องแชร์ห้องน้ำ ห้องครัวและห้องรับแขก เราต้องเตรียมของใช้สบู่แชมพู และผ้าเช็ดตัวไปเอง GoJo Guesthouse Annex คืนละประมาณตั้งแต่ 5,500 เยนต่อห้องคะพักแชร์กับพี่มะลิ ที่นี่ออกจะเก่าสักหน่อยหลายๆอย่างไม่เหมาะกับใครที่แพ้ง่ายคะ และเป็นพื้นไม้เวลาเพื่อนนักท่องเที่ยวทีนหนักกลับดึก เดินทีก็นึกว่าเขาระเบิดหิน ไม่รวมอาหารเช้า แต่มีครัวที่เราใช้ร่วมกันคะ โลเคชั่นค่อนข้างสะดวกเดิน เข้าใจกลางกรุงเพื่อนั่งรถไฟรถใต้ดิน หรือนั่งรถเมล์ไปใหนง่ายคะ ชอบแบบนี้มันค่อนข้างต่างจากเกทเฮ้าส์บ้านเราก็สนุกดี
Category: Asia
Coffee Shops in Kyoto
มาเกียวโตคราวนี้บอกเลยว่านอกจากชาเขียวที่ดื่มในเรียวกังที่พักและดื่มจากที่เสริฟในร้านอาหารแล้ว เราไม่ได้แวะร้านชาที่ใหนเลย กลับมองหาแต่ร้านกาแฟ ญี่ปุ่นเป็นประเทศต้นๆในโลกขึ้นชื่อเรื่องกาแฟ มีร้านกาแฟดังๆที่แนะนำจากเว็ปไซด์และบล็อกแต่ว่าเราไม่ไปตามลายแทงใหนๆ เราใช้วิธีแบบเดินดะไปใหนดี ฉะนั้นร้านที่เราแวะเข้าไปและแนะนำมานี่ ขอรับประกันคอกาแฟไม่ผิดหวังคะ เราชิมกาแฟแตกต่างเมนูทุกร้านเลย การตกแต่งก็เก๋ไก๋ไม่เบา ร้านแรก Inoda Coffee เป็นร้านแรกๆของเกียวโตเปิดยาวนานกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว ถือว่าเชียวชาญระดับแนวหน้าด้านกาแฟ บริษัทยังนำเข้าและขายส่งกาแฟเป็นรายใหญ่ของเกียวโตคะ เรามาร้านแม่คะ(มีหลายสาขา)เพราะอยากเห็นความเดิมตั้งแต่เปิด มีส่วนที่ต่อเติมดูทันสมัยขึ้นมา เราเดินเข้าไปตอนฝนตก ส่วนแรกเป็นเบเกอรี่หอมกรุ่น กาแฟคั่ว บดและบรรจุ จำหน่าย และผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องมากมาย ตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในเราสัมผัสได้ถึงบริการมาตรฐานร้านดีๆแถวยุโรปคะ พื้นที่ที่เคยเป็นร้านแรกเล็กๆ(ปลอดบุหรี่ )ตกแต่งยุค 60 หรูหราและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆเป็นของยุคเก่า มีเสน่ห์มาก
ส่วนห้องโถงใหญ่ของร้านสำหรับผู้สูบบุหรี ค่อนข้างฉุยทีเดียว มีสวนเล็กกั้นระหว่างร้านทั้งสามส่วน เช้านี้เราสั่งกาแฟดำเพื่อทดสอบกาแฟ พร้อมกับขนมชั้นเล็กๆ ไม่สงสัยในความรุ่งเรื่องของธุรกิจที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นร้านนี้เลยคะ
ถัดมาอีกร้าน HIRO ตกแต่งแบบยุโรปอีกแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นสไตล์ลูกทุ่งเนเธอแลนด์นะ ร้านนี้เจ้าของคงชอบมอร์เตอร์ไซด์เป็นพิเศษ เพราะตกแต่งด้วยฮอนด้ารุ่นเก๋ากึ๊กและคาวาซากิใหม่เอี่ยม มีนิตยสารเกียวกับรถให้อ่านด้วย เราชิมกาแฟแบบดริปรสชาติเบาๆ ติดใจจิบเพลินขณะฝนลงเม็ด
ถัดมาเป็นร้านที่โมเดิร์นสุดๆ %Arabica ทั้งตกแต่งร้าน บาริสต้าและนักดื่ม กาแฟจากเครื่องทันสมัยเลิศรส แวะนะคะทางขึ้นวัดน้ำใส คิโยมิสุ-เดระ
และท้ายสุดที่อยากแนะนำเป็นร้านที่ขึ้นชื่อมากในเกียวโตและขึ้นชื่อเรื่องขนมฝรั่งเศสและบริการระดับห้าดาวอย่างที่เราโปรดปราน Fortune Garden Kyoto รู้สึกเขินเล็กน้อยว่าเป็นนักท่องเที่ยวแต่งตัวไม่ค่อยเหมาะสมกับสถานที่ พี่มะลิเคยมาเธอบอกว่าไม่เป็นไร ค่อยใจชึ้นขึ้นมาคะ
Nishiki Market, Kyoto ตลาดนิชิกิ เมืองเกียวโต
เป็นตลาดเก่าแก่ใจกลางเมืองเกียวโตอยู่คู่บ้านคู่เมืองของเกียวโตกว่า 400 ปี ปัจจุบันชาวเกียวโตยังมาซื้อขายกันอยู่รึเปล่า รึกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปแล้วก็ไม่แน่ใจคะ คือเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมาก ใครๆก็มารวมถึงเราด้วยแหละเพราะชอบเดินตลาดมากไม่ว่าจะไปเมืองใหนๆ นิชิกิเป็นสดในร่มชอบหลังคาตลาดที่มุงกระจกสีสันชดชื่นเอามากๆ ทางเดินกว่าครึ่งกิโลนี่สะอาด เดินสบาย ขายอาหารทั้งของแห้งของสด และวัสดุอุปกรณ์ในครัวเรือนบ้าง ข้าวของที่ขายในนี้เป็นเอกลักษณ์บ่งบอกว่า ที่นี่เกียวโต เราไม่รู้หรอกมีอะไรบ้างเพราะญี่ปุ่นเก่งและยกย่อง เชิดหน้าชูตาผลิตภัณฑ์ ผลิตผลที่เป็นท้องถิ่นของตัวเองมากๆ ไม่ว่าจะไปเมืองใหน ต้องมีพระเอกนางเอกประจำถิ่นเสมอ เราแวะร้านขนมร้านหนึ่งผู้ชายนั่งทำกันสดๆเห็นๆและขายตรงนั้นเลย หน้าตาคล้ายขนมเบื้องกรอบที่บ้านเราคะ หอมงา หอมถั่ว เราซื้อมาสามแพ็ค1000 เยน แบ่งให้พี่มะลิเธอบอกไม่ชอบกิน เราบอกว่างั้นเอาไปฝากที่บ้านล่ะกัน ร้านถัดไปเป็นขนมที่มีหนุ่มวัยกลางคนหน้าตาใจดี(หนุ่มเกียวโตหน้าใสเป็นพ่อค้าขนมไม่แปลกใช่ใหม) พี่มะลิบอกว่าร้านนี้ทำและขายขนมตามฤดูกาล เรามาต้นหน้าร้อน จึงได้ขนมก้อนไสๆเหมือนวุ้นมีไส้ถั่วแดง และอีกชิ้นโรยผงชาเขียว ร้านคนเยอะเลยอดคุยกับคนขายว่าคืออะไร อีกอย่างที่ประทับใจเราคือหีบห่อนี่แหละสวยมาก บ้านเราใช้ใบตองกล้วย แต่ที่นี่ใช้ใบไผ่ ซื้อไม่กี่ชิ้นก็ขายและพร้อมกินกันตรงนั้นได้เลย ของกินซ้ายขวาทั้งคาว หวานและเครื่องดื่ม กว่าจะออกจากตลาดได้ก็อิ่มแปร้เชียวละ เห็นมีรากวาซาบิสดขายด้วย หัวผักกาดดองเป็นถังตั้งกันเห็นจะๆหน้าร้าน กระป๋องสารพัดชาและอื่นๆมากมาย สวรรค์ของคนรักอาหารจริงๆคะ ถัดมานิดหน่อยแปลกใจมีร้านหนังสือเก่าแก่อยู่ที่นี่ เราแวะเข้าไปไม่เห็นหนังสือตัวอักษรภาษาอังกฤษสักเล่มเลยอด มาคราวเกียวโตหน้าก็หวังเราจะเห็นร้านยังเปิดดำเนินกิจการนะ ตลาดเปิดประมาณ 9 โมงเช้า ถึง6 โมงเย็นนะคะ ปิดวันพุธกะวันอาทิตย์
Sunday Art&Craft Market, Kamo- Wakeikazuchi Shrine, Kyoto ตลาดนัดศิลปะหัตกรรม วันอาทิตย์ หน้าศาลเจ้าคะโมะ
ชาวญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นนักคิด นักทำ นักสร้างสรรค์หัวกะทิเชื้อชาติหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะเทคโนโลยีหรืองานทำเองจากมือ หากได้มีโอกาศมาดูงาน นิทัศกาลหรือตลาดนัดที่ญี่ปุ่นถือว่าเป็นรางวัลของชีวิตคะ ความสนใจด้านเทคโนโลยีของเรามีน้อย ตลาดนัดหัตกรรมจึงเป็นที่โปรดปรานและเลือกที่จะแวะเที่ยวคะ คนญี่ปุ่นขึ้นชื่ออย่างหนึ่งเรื่องทำของต้นฉบับ การก็อบปี้เป็นเรื่องน่าดูถูกเอามากๆในสังคมญี่ปุ่น พวกเขาไม่ส่งเสริมและไม่บริโภคสินค้าเหล่านั้นคะ เราจึงเชื่อและวางใจในงานทุกชิ้นคะ
ตลาดนัดหน้าศาลเจ้าวาเคอิคาสุชิ มีขึ้นทุกวันสายๆของวันอาทิตย์เรามาช่วงปลายมิถุนายน ไม่แน่ใจว่ามีตลอดปีรึเปล่า ก่อนมาในฤดูอื่นๆเช็ดดูก่อนนะคะ นั่งรถเมล์จากในเมืองมาลงที่ป้ายศาลเจ้าคะ ตลาดนัดอยู่ด้านหน้าศาลเจ้าด้านขวามือสองฝั่งริมแม่น้้าใสสะอาด พร้อมหญ้าเขียวขจี และลานปูเสื่อสำหรับนั่งปิกนิคเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของครอบครัวด้วยทุกเพศทุกวัยคะ
สินค้าที่นำมาออกร้านเป็นของกิน ของใช้ทำมือที่ทำเองขายเองของเจ้าของแผงมีกว่าสามร้อยแผง สินค้าต่างกันมากมาย ราคาไม่แน่ใจว่า ถูกแพงหรือเหมาะสมแค่ใหน เพราะนอกจากของกิน ชาและกาแฟแล้วเราไม่ซื้ออย่างอื่นเลย มีของเตะตาหลายอย่างเช่นร้านพู่กันทำมือ ร้านทำเขียงไม้ คุณป้าถักใหมพรมสำหรับน้องเหมียว ร้านกาแฟดริป ฯลฯ เพลิดเพลินมากๆ คะ
Kamo-Wakeikazuchi Shrine ศาลเจ้าเบื้องบนคะโมะ วาเคอิคาสุชิ
อีกสิ่งหนึ่งที่เกียวโตคล้ายคลึงกับเชียงใหม่บ้านของเราคือ วัดและศาลเจ้ามากมายพอๆกัน แต่เกียวโตมีโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์กรยูเนสโกเยอะมาก มากจนการมาเที่ยวเราต้องเลือกว่าจะเดินตามลายแทงนั้นๆหรือ เลือกเดินชมเฉพาะที่สนใจเอาจริงๆ อย่างเช่น ศาลเจ้าคะโมะแห่งนี้ ตั้งอยู่นอกตัวเมืองเกียวโตมาทางตะวันออกเฉียงเหนือ ตามการไหลของแม่น้ำคะโมะที่ไหลจากเหนือไปทางตะวันออกของเมือง ศาลเจ้าคะโมะเป็นศาลเจ้าคู่แฝด เรามาศาลผู้พี่คะโม วาเคอิคาสุชิ (ห่างไปอีกตามลำน้ำราว 3.5 กิโลเป็นศาลเจ้าเบื้องล่างผู้น้อง) เรานั่งรถเมล์จากตัวเมืองอย่างเพลินมาลงที่ป้ายจอดหน้าศาลเจ้าเลย ทางเข้าก็เช่นเคยคือแปลนทางเดินเป็นหินกรวด ให้เดินกว้างกว่าเดิมเพราะต้องเป็นทางออกหลัก เห็นมีธงปักเป็นทิวแถว ทราบภายหลังว่าเมือกลางเดือนพฤษภาคมมีเทศกาลสำคัญประจำปีด้วย
ศาลเจ้า วาเคอิคาสุชิ มีสัญลักษณ์โดดเด่นคือประตูสีส้มแปร่น สูงสง่าเห็นได้จากไกลๆ อ้อชาวญี่ปุ่นก็มีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าและการทำนายทายทักพอๆกับคนไทยเช่นกัน เห็นจากก่อนเข้าประตูด้านซ้ายมือเป็นคอกไม้ม้าหมอดู เห็นมีคนใช้บริการเยอะทีเดียว
ศาลเจ้าแห่งนี้เข้าฟรีนะคะ เป็นศาลเจ้าเก่าแก่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า ดังนั้นภายในศาลจึงมีศาลเล็กศาลน้อยเยอะเต็มไปหมด และสิ่งหนึ่งที่นำมาสักการะศาลเจ้าคือสาเกจากที่เห็นถังเปล่าตั้งเรียงเป็นกำแพง เมื่อข้ามประตูเข้ามาเห็นศาลาทรงเตี้ยและมีลานกรวดและกองทรายสองกองตรงหน้า เล่ากันว่าสมัยก่อนพระจันทร์จะสะท้อนลานกรวดเข้าสู่ศาลาในยามกลางคืน วันนี้มีประกอบพิธีแต่งงานด้วย เราจึงได้เห็นพิธีการ อันงดงามหลายอย่างตามมา ส่วนขวามือมีวงหรีดขนาดใหญ่ให้เราก้าวข้ามเชื่อว่าปัดเป่าละให้โชคลาภบางอย่า มีวิธีการบอกไว้ไม่ใช่ข้ามกันมั่วๆนะคะ พอเราเริ่มข้ามคนอื่นก็ทำตามเป็นพรวนเลยคะ ถัดมาด้านหลังมีบ่อน้ำตกจะเห็นบ่อน้ำแบบนี้แทบทุกวัดและศาลเจ้า ก็มีวิธีการชะล้างที่ถูกต้องเช่นกันดีมากมีพี่มะลิแนะนำพิธีวิธีการเยอะจัด มีศาลเจ้าอีกมากมายแต่เราก็ละไว้ เอาแคพอเหมาะพอดีละกัน มาถึงตรงเสี่ยงทายคราวนี้เราไม่เสี่ยงทายอะไร ที่นี่น่ารักด้วยไอเดียที่หากใบไม่ถูกใจไม่นำกลับไปด้วย เป็นเกาะยิ้มโครงไม้ไผ่ให้คนผูกคำทำนายน่ารักและสร้างสรรค์เอามากๆคะ หลังจากไหว้เจ้าและแอบดูพิธีแต่งงานนานเป็นชั่วโมง ได้เวลาออกมาเดินตลาด ศิลปะหัตกรรม ที่มีขึ้นทุกวันอาทิตย์ด้านหน้าประตูทางเข้าศาลเจ้าคะ
Kinkaku-ji, Golden Pavilion, Kyoto. ศาลเจ้า คินคะคุจิ(วัดทอง)
ศาลเจ้าแห่งที่สองที่ขึ้นทะเบียนและคุ้มครองจากองค์กรยูเนสโก ของเมืองเกียวโตอีกแห่งเป็นที่นิยมและต้องแวะมาให้ได้นั่นคือ วัดทองหรือศาลเจ้าคินคะคุจิ (ถ้าใครดูการ์ตูน อิกคิวซังจะคุ้นเคยกับภาพวัดนี้ดี) วัดอยู่นอกเมืองเกียวโตเราต้องนั่งรถเมล์ประมาณครึ่งชั่วโมงคะ จากสถานีใหญ่หรือที่ป้ายจอดรถเมล์คะ มาเที่ยวเกียวโตขอแนะนำซื้อตั๋ววันนะคะไปใหนมาใหนง่ายและคุ้มจริง(ศึกษาเส้นทางและข้อมูลอื่นๆจากแผนที่และคู่มือท่องเที่ยวค่ะ) พี่มะลิชาวญี่ปุ่นเพื่อนคนสนิทที่เคยทำงานเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ท่องเที่ยวที่เชียงใหม่พูดไทยชัดแจ่ว เธออาสาเป็นเพื่อนนำเที่ยวในทริปนี้ให้คะ ไปใหนมาใหนจึงค่อนข้างคล่องตัวและสบายใจหายห่วง เพราะเธอวางแผนและแนะนำสถานที่ให้เสร็จสรรพ การมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกและคนเดียวจึงสนุกสนานมากๆ (ใครต้องการเพื่อนนำเที่ยวแบบเป็นกันเองติดต่อเรามาได้เลยคะ อิอิ)
จากโกโจเราขึ้นรถสองทอดมาลงที้ป้ายศาลเจ้าคะ สาย59ที่เราขึ้นมาผู้โดยสารค่อนข้างแน่นและมีนักท่องเที่ยวฝรั่งด้วย รู้เลยลงจุดหมายเดียวกันแน่ เดินข้ามถนนมาก็เจอร้านกระดาษซับหน้ามันเจ้าดัง ถัดมาอีกร้านเป็นร้านไอครีมชาเขียวเจ้าอร่อย หมายตาเอาไว้ตอนขาออกคะ ข้ามม้าลายก็เจอยามกำลังจัดคิวซื้อบัตร(400 เยน)เข้าศาลเจ้าคะ เราชอบการจัดระเบียบของศาลเจ้าตรงที่เขาจะทำทางเดินกรวดกว้างประมาณสองเมตร มีเชือกหรือรั้วไม้ไผ่เตี้ยๆกันขอบให้คนเดินไปในทิศทางเดียวกัน ซ้ายขวาของทางเดินเป็นสวนสนและต้นเมเปิ้นสวย เขียวขจีด้วยมอสสนานาพันธุ์ ร่มรื่นแบบนี้แทบทุกศาลเจ้าที่ไปมา พระเอกของศาลเจ้าแห่งนี้คือศาลาทองอันเหลืองอร่ามกลางสระน้ำนิ่ง เงียบสงบแบบเซน ฉากหลังเป็นป่าเขาเขียวขจี พี่ยามจะพยายามจัดสรรให้คนเข้าออกและจัดมุมถ่ายรูปให้กับนักท่องเที่ยวอย่างไหลลื่น คนเยอะก็จริงแต่ไม่เบียดเสียดหรือแย่งที่กันน้อยมากคะ ดังนั้นทุกคนจะได้ภาพมุมศาสาทองนี้สำเนาเหมือนกันหมดคะเช่นกันค่ะ นกบนหลังคาเป็นนกฟินิกซ์ประจำวงตระกูลท่านไซออนจิ คิซึเนะอตีตเจ้าของบ้านก่อนจะกลายมาเป็นวัดหรือศาลเจ้าในปัจจุบันคะ ภายในศาลามีพระพุทธรูปหลายองค์หลายปรางสวยงามมาก มองด้วยตาเปล่าไม่ชัด แต่เดินออกมาสักหน่อยก็จะเห็นบอร์ดภาพและเจ้าหน้าที่อธิบายให้ทราบประวัติความเป็นมาคะ แต่จะกลับไปถ่ายรูปไม่ได้แล้ว ให้เดินหน้าอย่างเดียวต่อไปส่วนอื่นสวยสวยร่มรื่น มีศาลา น้ำตกและโยนเหรียญเสี่ยงทายสนุกๆ และจบที่การศาลเจ้าสำหรับใหว้สักการะและบูชา ขอพรตามความเชื่อส่วนบุคคลคะ
Homemade-Ramen ราเมนเจ้าอร่อย
บ้านเราชอบกินก๋วยเตี่ยวเป็นอาหารกลางวัน ชาวญี่ปุ่นก็เช่นกันคะ ร้านราเมนหากินได้ง่ายราคาประหยัด เราเจอร้านนี้ทางขึ้นไปศาลเจ้าคิโยะมิสุ-เดระ ร้านเล็กๆแคบๆเข้ามาข้างในครึ่งหนึ่งของร้านเป็นครัวที่อุปกรณืครบครันและสะอาดสะอ้าน หนุ่มหล่อชายเดี่ยวอยู่หลังเค้าเตอร์ เส้นราเมนทำเองสดๆ ว้าวแค่นี้ก็น้ำลายสอแล้ว เมนูมีรูปภาพชัดเจนและมีบรรยายภาษาอังกฤษ ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเจ้าของเขาพูดภาษาอังกฤษได้มั้ยเพราะ พี่มะลิจัดการสั่งให้เราเสร็จสรรพตามต้องการแล้ว
รสชาติสุโค่ยมากคะ เส้นเหนียวนุ่ม น้ำซุบหวานเค็มกลมกล่อม ชามก้นลึกอิ่มแปล้เลย ต้องขออภัยลืมจดชื่อร้านไว้ จากประสบการณ์ร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กทำด้วยใจ อร่อยล้ำมหาศาลคะ
Kiyomizu-Dera, Kyoto ศาลเจ้าคิโยะมิสุ-เดระ
ศาลเจ้าคิโยะมิสุหรือวัดน้ำใส มรดกโลกองค์กร ยูเนสโก เป็นศาลเจ้าชื่อดังใกล้เมืองและเป็นที่นิยมจากนักท่องเที่ยวทุกฤดูกาล ตั้งอยู่บนยอดเขาต้องเดินขึ้นเขาค่อนข้างไกลผ่านร้านค้าขนมเจ้าอร่อยสูตรเด็ดเต็มสองข้างทาง ผ่านร้านให้เช่าชุดและบริการแต่งตัวแบบพื้นเมือง ผ่านบริการรถลากจูงแบบโบราณ ผ่านร้านหัตถกรรม ผ่านร้านกาแฟ และสารพัดร้านลืมเหนื่อยเลยละคะ
ถึงยอดเขาลูกแรกเป็นซุ้มประตูทางเข้าและซื้อบัตรเข้าศาลเจ้า ใครที่มาที่นี่พกพาความเชื่อด้านโชคลาภทั้งความรัก ความประสบผลสำเร็จในการศึกษาและความผาสุขในชีวิตคะ เห็นจากน้ำพุที่คนรอเข้าคิวยาวและใบเสี่ยงทายคล้ายๆการเสี่ยงเซียมซี ถ้าโชคดีเอากลับบ้าน ได้ใบที่ไม่ชอบใจก็ผูกไว้ที่วัด และของบูชาหลากหายชนิดให้ซื้อติดตัวกลับบ้านได้ด้วย ถัดไปยังภูเขาอีกลูกระหว่างทางเป็นสวนเมเปิ้ลที่ใบจะเปลี่ยนในฤดูใบไม้ร่วง ขณะนี้เดือนมิถุนายนใต้ต้นมีดอกไฮเดรนเยียสีม่วงฟ้า ชมพู ออกมาสวยเช่นกันคะ ศาลากลางของศาลเจ้ามีระเบียงกว้างให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป และเห็นทิวทัศน์ของเมืองเกียวโต ระบียงนี้ประวัติน่ากลัวนะคะในสมัยโบราณที่มีความเชื่อเรื่องกระโดดจากระเบียงแสดงถึงความกล้าและศักดิ์ศรี ระเบียงนี้ใช้เสาไม้ใหญ่โตและแข็งแรงมากหลายร้อยต้น หลังคามุงด้วยหญ้าแบบเก่า มีทางเดินใต้แมกไม้เขียวขจีและหญ้ามอส อากาศกำลังดีคะ ถึงแม้คนจะเยอะก็ตามที อ้อที่ศาลเจ้านี่ต้องละเลียดดูให้ทุกมุมนะคะ เขาออกแบบให้คนเดินไหลไปทางออกเดียวกัน ไม่มีการเดินวนย้อนมาจุดเดิมอย่างวัดไทยคะ
Kyoto National Museum พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเมืองเกียวโต
ส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ชอบศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของท้องถิ่นนั้นๆ ไม่ว่าจะไปบ้านเมืองใหนก็ตาม จึงต้องแวะพิพิธภัณฑ์ทุกครั้ง หลังจากเช็คอินเข้าห้องพักแล้วเรามีเวลาประมาณสามชั่วโมงรอเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่จะมาพักด้วยกัน ดูแผนที่แล้วออกเดินไม่ไกลและใช้เวลาไม่มากจากโกโจเแอนเน็ตเกสเฮ้าส์ พิพิธภัณฑ์เกียวโตเพิ่งจะขยับขยายและสร้างอาคารสมัยแบบใหม่เพิ่มอีกอาคาร ผสมความเก่าและใหม่ได้อย่างกลมกลืน มีสวนสวยเขียวขจีเป็นทางเชื่อม ต้นใม้และสวนเก่าแก่พอๆกับอาคารทรงยุโรปที่สร้างเมื่อปี ค.ศ1895 มีน้ำพุและอนุสาวรีย์ The Thinker ของศิลปินชาวฝรั่งเศสตั้งเป็นสง่าด้านหน้า เราแวะมาที่นี่เดือนมิถุนายน2558 กำลังมีการปรับปรุงอาคารเก่าคะ คงเปิดบริการเร็วๆนี้
ข้ามสวนมานิดเป็นอาคารสมัยใหม่สวย เปิดเมื่อปี 2557 ที่ผ่านมาข้างในบางห้องไม่อนุญาติให้ถ่ายรูป ไม่อนุญาติให้สเก็ตภาพหรือบันทึกโดยปากกา (เพื่อนไขข้อข้องใจภายหลังว่าหมึกจะเลอะพื้นห้องและกลิ่นจะรบกวน) ต้องใช้ดินสอเท่านั้นซึ่งภัณฑารักษ์เตรียมให้พร้อมแล้ว น่ารักมากๆ ห้องแต่ละห้องเชื่อมโยงแต่ละชั้นได้ไหลรื่นอารมณ์ต่อเนื่องมากทั้งด้านการออกแบบทางสถาปัตย์ภายในและเรื่องราวงานที่จัดแสดงคะ
ภายในจัดแสดงรูปปั้นขนาดใหญ่เหล่าทวยเทพและพระพุธเจ้า เครื่องแต่งกายเช่นกิโมโน ยูกะตะที่ทำเอาเราตะลึงตะลานในความงามและประวัติความเป็นมาแต่ละชิ้น ห้องเซรามิกเครื่องปั้น ห้องประวัติศาตร์ ห้องอักษรและอื่นๆ สามชั่วโมงนี้แป๊ปเดียวจริงๆ ค่าเข้าชมไม่แพงนะคะ 520 เยนเอง มีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษและมีออร์ดิโอให้เช่าฟังคะ
kamo River, Kyoto แม่น้ำคะโมะ
หลังจากเราเตร็ดเตร่แถวรอบนอกเมืองเกียวโตหลายวันแล้ว เช้านี้ก็ได้เวลาพาตัวเองเข้าใจกลางเมืองเสียที เราจองห้องพักแบบเรียวกังในย่านโกโจ นั่งรถเมล์ไม่กี่แยกไฟแดงแล้วเดินข้ามแม่น้ำคะโมะ ตอนข้ามสะพานทำให้เรารู้สึกว่าลักษณะภูมิประเทศการตั้งเมืองคล้ายกับเมืองเชียงใหม่มาก มีแม่น้ำและภูเขา ความต่างก็ตรงที่เกียวโตมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เชียงใหม่ฝันจะมีในอีกสามสิบหรือห้าสิบปีข้างหน้า
เราชื่นชอบคำกล่าวเดิมๆเรื่องความสุนทรีย์ริมตลิ่ง สามารถซึมซาบได้จากแม่น้ำคะโมะสายนี้ไม่ว่าจะเดินฤดูใหนหรือช่วงใหนของวัน แค่เดินข้ามสะพานเรารู้เราสัมผัสได้น้ำที่ใสไหลเรื่อยๆ ทางสัญจรริมตลิ่ง ต้นไม้เขียวขจี ว่ากันว่าเส้นทางริมตลิ่งนี้ยาวทอดไปเกือยสามสิบกิโลเมตร ทำให้รู้สึกอยากให้เชียงใหม่มีแบบนี้บ้าง ข้ามสะพานมาไม่ไกลเพื่อรับกุญแจจากร้านอาหาร Gojo ที่เราจองห้องพักแบบเรียวกังไว้ รับกุญแจ แล้วเข้าซอยอีกนิดหน่อยไปยังเกสเฮ้าส์ เงียบสงบ สะอาด รู้สึกได้ว่าทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นอยู่กันอย่างกลมกลืนเป็นชุมชนที่ดี เกียวโตได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมิตรและปลอดภัยสำหรับผู้หญิงเดินทางคนเดียว ได้ยินแบบนี้แล้วใจชื้น