HIKING Öbersee – Röthbachfall เดินเขา ทะเสสาปโอ๊ะแบร์ น้ำตกร็อทบาค

หลังจากกินข้าวเที่ยงที่ท่าเรือบาร์โธโลเม่ เราต่อเรือมายังท่าเรือซาเล่ใช้เวลาไม่นาน มีเส้นทางเดินต่อไปยังทะเลสาปโอ๊ะแบร์ แบบง่ายๆรถเข็นเด็กเข้าได้เหมาะสำหรับทุกเพศวัย ป่าสนสูงชลูดแสงเงาสวยมาก อากาศชื้นทั้งปีมอสปกคลุมยังเขียวขจีเห็ดป่าขึ้นมาหลายชนิด ถ้าเป็นป่าดิบชื้นอย่างเมืองไทยจินตนาการว่างูและสัตว์แมลงมีพิษยั้วเยี้ยเลย ไม่เห็นมีใครนั่งปิกนิกสมมติฐานเอาเองว่าไม่ใช่คนในพื้นที่แน่ๆจึงมีคาเฟ่บริการสองร้าน ที่วิวสวยที่สุดในโลกก็ว่าได้ ขากลับจากเดินเขาเราแวะชิมเค็กเมล็ดดอกป็อปปี้และกาแฟรสชาติดีทั้งร้อนและเย็น

ทะเลสาปโอ๊ะแบร์มีวิวสวยและใครๆต้องถ่ายรูปคือเงาสะท้อนที่สวยใสขาดใจ เราเจองู Kreuzotto กำลังนอนผึ่งแดดขวางวิวพอดี จริงๆเป็นเรื่องยากที่จะเจองูในประเทศนี้ ถือว่าเรามีบุญ 555… ทางเดินจากจุดนี้ขึ้นเขาข้ามไปหนึ่งลูกเพื่อไปอีกฟากของทะเลสาปโอ๊ะแบร์เป็นเส้นทางที่ผจญภัย น่าตื่นเต้นและทดสอบนิสัยและน้ำใจเพื่อนร่วมทางได้ไม่น้อย แถวบ้านเรียก “เส้นทางวัดใจ” ทางเดินแคบขอบหน้าผา หินเขาชันและเปียกลื่นยังดีมีเส้นเชือกจับกันลื่นค่ะ วิวสวยและผาชัน รองเท้าเดินป่าหรืออย่างน้อยรองเท้าเล่นกีฬาแนะนำว่าจำเป็น ฟากนี้มีคาเฟ่เล็กบริการเบียร์และน้ำอัดลม และลงเล่นน้ำในทะเลสาปได้ค่ะ

เราเดินต่อไปยังน้ำตกร๊อทบาค 470 เมตรที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสายน้ำตกสูงยาวที่สุดในเยอรมันนี รอบๆเทือกเขาบริเวณนี้ยังมีอีกสองสามสายตกลงเป็นลำธารเล็กๆ ลงมารวมเป็นหนองน้ำก่อนจะจมหายใต้พื้น แล้วไหลรวมลงไปสู่ทะเลสาปโอ๊ะแบร์และเคือะนิก  มีเรื่องตลกในการข้ามลำธารเล็กๆเหล่านี้เป็นบททดสอบบางอย่าง นั่งสังเกตุมีวิธีข้ามเช่นไร นักท่องเที่ยวชาวจีนเก็บหินมาทำเป็นสะพานข้าม ลูกเสือและคนที่สวมรองเท้าเดินป่าเดินลุยน้ำผ่านไปหน้าตาเฉย ชาวตะวันตกบางคนถอดรองเท้า บางคนกระโดดข้าม บางคนเดินหาที่เหมาะสมก้าวข้ามฯลฯ

ทุ่งหญ้าดอกบานสะพรั่ง แมลง ผึ้ง ผีเสื้อ แสงแดด โขดหินและหน้าผาชันสูงชลูดของเทือกเขา Berchtesgaden Alps. สวรรค์บนดินอย่างในหนัง Sound of music.

Munchen-Konigssee ทะเลสาปเคือะนิก(ทะเลสาปแห่งพระราชา)

ก่อนซื้อตั๋วเดินทางต้องเช็คพยากรณ์อากาศวันต่อวันกันเลยนะ ถึงแม้จะเป็นหน้าร้อนก็ไม่รับประกันว่าฟ้าเปิดทุกวันเมื่อวานฝนตกเช้ายันเย็นหนาวมาก ดังนั้นเช็คสภาพอากาศก่อนหนึ่งวันเป็นเรื่องจำเป็น เราโดยสารรถบัสไป-กลับมิวนิก  ทะเลสาปใช้เวลา 6 ชั่วโมงค่ะหากไปเจอกับฝนทำใจยากที่จะบอกตัวเองว่า ” ใส่เสื้อมาผิดตัว ” เบาะนุ่มๆคนขับเปิดเพลงเบาๆ สามชั่วโมงกับทิวทัศน์สองข้างทางแป็ปเดียวจริงๆ รถบัสออกจากสถานีขนส่งกลางตรงเวลาเป๊ะ ถึงสถานีปลายทางทะเลสาปเคือะนิกก็เป๊ะเช่นกัน

ลานจดรถเต็มขนัดและเดินๆมุ่งหน้าไปท่าเรือก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว มากจากทั่วสารทิศทั้งเอเซียและตะวันตก รู้สึกคนจีนจำนวนไม่น้อยเลย  ถัดไปหน่อยกำลังก่อสร้างอีกสองสามปีคงจะมีกระเช้าไฟฟ้าชมวิวยอดเขาด้วย เราเดินมาต่อคิวซื้อตั่วล่องเรือที่ท่าคิวยาวเช่นกัน(เห็นว่าซื้อออนไลน์ได้แต่ลองแล้วไม่เวิร์ก) ปลายทางมีสองแห่งให้เลือกราคาไป-กลับ ลงที่ท่าเรือโบสถ์บาโธลาเม่  ผู้ใหญ่ 14.80 ออยโร ลงท่าเรือซาเล่ 17.80 ออยโร(แวะพักกินข้าวเที่ยงที่ร้านท่าเรือบาโธลาเม่ ปลาเทราส์อบเนยอร่อยมาก) ทั้งสองท่าเรือมีตั๋วเด็ก ตั๋วยกครัวปิดบอร์ดประกาศไว้ชัดเจนไว้ แถมมีตั๋วสำหรับสุนัขเหมาจ่ายด้วย 3.50 ออยโร

เรือที่เดินในทะเลสาปแห่งนี้ใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแตปี คศ.1909 ล้ำสมัย สภาพธรรมชาติแวดล้อมยังสมบูรณ์และสวยงาม แม้มีด้วยกันตั้ง18 ลำ วิ่งรอกไปมาทุกวันกว่าร้อยปี ทะเลสาปไสเขียวมรกต โอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงเฉียดฟ้า อากาศเย็นสดชื่น เครื่องยนต์เงียบมาก เสียงที่ได้ยินเฉพาะเสียงฮือฮาของนักท่องเที่ยว เสียงลั่นชัตเตอร์และเสียงไกด์ประจำเรือเล่าโน้นนี่

กลางทะเลสาบนายเรือเป่าแตรโชว์พาวเวอร์เสียงสะท้อนก้องกังวาลเจ็ดชั้น เคลิ้มเลย กระทั่งเป่าเสร็จเดินขอทริปกันตรงๆไม่อ้อมค้อมทั่วเรือเลยพ่อคุณ หุหุ

Bernried Village/Buchheim Museum

ไม่ว่าจะเดินทางมาหอศิลป์ บุคไคล์ม ด้วยทางเรือสำราญหรือทางรถไฟ ก็ต้องเดินผ่านหมู่บ้าน แบร์นเรียด์ เราเดินทางมาในเดือนกรกฎาคม หน้าร้อนแดดจัดฉันเดินสวมหมวก กางร่มใส่แหว่นดำกันแดด ท้องฟ้าสีคราม ทะเลสาปสีเขียว หมู่บ้านประดับตกแต่งด้วยดอกไม้สวยงาม สีสันสดใส  บ้านหลายหลังยังครึ่งปูนครึ่งไม้ ในสวนปลูกแอปเปิ้ล ลูกแพร์ แบ่งสวนปลูกผักและสมุนไพรก็มี เราแวะเข้าโบสถ์ประจำหมู่บ้าน แวะซื้อน้ำเย็นที่ร้านขายของชำ เดินผ่านเสาหลักหมู่บ้าน เสาหลักนี้สูงเกือบสามสิบเมตรติดธงแสดงให้เห็นว่าหมู่บ้านมีอะไรที่เห็นมีร้านอาหาร ท่าเรือ ร้านขนมปัง ช่างทำกุญแจ เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น หมู่บ้านค่อนข้างสงบเงียบน่าอยู่ ถึงแม้จะเป็นเมืองที่มีรถไฟผ่าน นักท่องเที่ยวก็ไม่พลุกพล่านยังคงกระจุกตัวกันแค่ริมทะเลสาปมากกว่า นอกจากเอ่ยขอซื้อน้ำดื่มก็ไม่ได้เอ่ยปากสนทนากับคนแปลกหน้าเลย จะมียิ้มหวานให้กับคนเดินผ่าน คงไม่ใช่คนท้องถิ่นแน่ๆ

Starnberger See

เป็นหนึ่งในห้าทะเลสาปน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมันนี ทะเลสาปสตาร์นแบร์ก ห่างจากมิวนิกประมาณ 25 กิโลมตร เรานั่งรถไฟมาลงที่สถานีสตาร์นแบร์กเพื่อต่อเรือสำราญไปเที่ยวหอศิลป์ บุคไคล์ม เรือสำราญบริการเฉพาะช่วง เมผษายน ถึงตุลาคมเท่านั้นนะคะ หากจะขับรถมาก็สะดวกอีกทาง ไม่อยากนั่งเรือมาเดินป่าหรือปั่นจักรยานรอบทะเลสาปยังได้แค่ 47 กิโลเอง

เราจองแพ็กเกจเดย์ทริป นั่งรถไฟ ล่องเรือสำราญและเข้าชมหอศิลป์ จองตั๋วและวางแผนเที่ยวได้ที่นี่ค่ะ http://www.seenschifffahrt.de ล่องเรือตอนเช้าอากาศเย็นสบาย สองฝั้งริมน้ำสวยงามด้วยป่าไม้ รีสอร์ท บ้านและสวนส่วนตัว กีฬาทางน้ำ และปาร์ตี้ริมฝั่งน่าสนุกมาก ห่างออกไปหน่อยสามารถมองเห็นบ้านพักริมน้ำ(ปราสาท)ขององค์ประมุขไทยรัชกาลที่10 อยู่ลิบๆ ภายในเรือบริการอาหารและเครื่องดื่ม ชิมเค้กอร่อยและกาแฟคนล่ะถ้วย ในวันเดินทางแดดจัดสมาราถเห็นวิวเทือกเขาแอล์ปด้วยค่ะ ขากลับเรานั่งบนด่านฟ้าของเรือจิปเบียร์เย็นๆชื่นใจมาก ผิวนี่เกรียมสีชมพูเป็นกุ้งเผากันเลย

Buchheim Museum der Phantasie

ครั้งแรกที่มาที่นี่เพราะแฟนเอาใจ เห็นว่าตอนนั้นฉันกำลังทำโปรเจค สตรีทอาร์ทที่เชียงใหม่ และในปีนั้นที่บูคไคล์ม มิวเซียมจัดแสดงนิทรรศการ สรีทอาร์ทอยู่ด้วย (นิทรรศการหมุนเวียนผ่านไปแล้วแต่ปัจจุบันยังมีผลงานหลายชิ้นให้ชมที่สนามหน้าและภายในอาคารค่ะ รับรองตื่นตาตื่นใจ)

การเดินทางมาพิพิธภัณฑ์จากมิวนิกได้หลายทางแต่ขอแนะสองทางคือ ด้วยรถไฟ S Bahn สาย 6 มาลงที่สตานแบร์ก Starnberg Station เพื่อต่อเรือสำราญที่  Starnberg See ในช่วงเมษายน -ตุลาคม ของปีเท่านั้น ตรวจสอบตารางเดินเรือและซื้อตั๋วที่นี่ค่ะ Bavarian lakes  จากท่าเรือเดินต่ออีกประมาณกิโลเมตรผ่านหมู่บ้านมายังหอศิลป์

หรือจะนั่งรถไฟยิงยาวจากมิวนิกไปลงที่สถานี แบร์นรีด Munich – Bernried จองตั๋วและวางแผนการเดินทางเช็คจากเว็ปไซด์ www.reiseauskunft.bahn.de ตอนซื้อตั๋วเข้าชมหอศิลป์โชว์ตั๋วรถไฟได้ส่วนลดคนละหนึ่ง ออยโร แน่ะ(ปรกติก 8.50 ออยโร) จากสถานีมาหอศิลป์เดินผ่านหมู่บ้านประมาณสองกิโลเมตรหรือแท็กซี่ประมาณ 7 ออยโรค่ะ

ความพิเศษของหอศิลปะแห่งนี้ประกอบด้วยเรื่องเด่นทางด้าน สถาปัยกรรมที่ออกแบบได้ล้ำสมัยในด้านสิ่งแวดล้อม หอศิลป์ตั้งรายล้อมด้วยสวนป่าร่มรื่นด้านหลังเป็นเนินเขา ด้านหน้าริมทะเลสาปโรแมนติในความรู้สึกของเรา และสุดท้ายคือเป็นหอศิลป์ที่จัดแสดงงานศิลปะแนวอิเพรสชั่นนิส โดยเฉพาะทั้งหมุนเวียนและนิทรรศการถาวร รวมถึงเป็นสถาที่เก็บสมบัติของ แฮร์โลธาร์ กุนเธอร์ บุคไคล์ม ศิลปิน นักสะสมงานศิลปะ นักเขียนชื่อดังของเยอรมันนี

ไอเดียสร้างสรรค์จากการดูงานศิลปะที่นี่ ปฏิมากรรมจากเศษไม้ เศษเหล็กและขยะ หุ่นปั้นคาแร็กเตอร์ตลกและการมีส่วนร่วมองผู้ชมงาน ห้องปฏิบัติการให้เด็กๆสนุกและเป็นการปลูกฝังอีคิว นิทรรศการหมุนเวียน วัตถุโบราณล้ำค่าหลายชิ้นจากเอเซีย(พระพุทธรูปไม้ลงรักปิดทอง เครื่องเขินและงานไม้อีกหลายชิ้นไม่แน่ใจว่ามาจากพม่าหรือทางเหนือบ้านเรา) แอฟริกา เครื่องแก้วอาร์ทนูโว่ ฯลฯ ร้านของขายที่ระลึกทีงานดิไซด์แปลกๆน่าซื้อติดมือ

ส่วนตัวชื่นชอบที่จะมาที่นี่เอามากๆ แวะมาทุกครั้งต่อเติมพลังสร้างสรรค์และพักผ่อนจิตใจ ชอบชานที่ยื่นทอดยาวออกไปให้เห็นวิวสวยของทะเลสาบ ตัวอาคารที่ออกแบบเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

 

 

Thailand to Germany

Over Munich City/ before landing

การเดินทางมาเยอรมันนีนั้นสะดวกมากโดยเฉพาะปัจจุบันมีสายการบินโลว์คอส และการโปรโมชั่นมากมายจากสายการบินอาหรับ คราวนี้เราบินด้วยสายการบิน เอทิแฮท ซื้อตั๋วตั้งแต่ยังไม่ขอวีซ่าด้วยซ้ำ ออกจะมั่นใจกว่าวีซ่าต้องผ่านแน่ๆ ทั้งๆทั้รู้ว่าบัตรโปรโมชั่นมีเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงอะไรยุ่งยากและต้องจ่ายเพิ่มแพงมาก การขอวีซ่าไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วแค่ใบจองเที่ยวบินก็เพียงพอแล้ว

เรายื่นเรื่องขอวีซ่าเชงเกนประเภท “เยี่ยมเยียน” ที่สถานกงศุลเยอรมันนีประจำจังหวัดเชียงใหม่ เอกสารที่ต้องจัดเตรียมเกินดีกว่าขาดทุกอย่างตามเว็ปไซด์สถานทูตเยอรมันนีกำหนด กรอกแบบฟอร์มออนไลน์และปริ้นสำเนาออกมาเพื่อสะดวกยิงบาร์โค้ดตอนยื่นเอกสารและเป็นการประหยัดค่าธรรมเนียมพันบาท ปัจจุบันที่สถานกงศุลฯมีสัมภาษณ์ด้วย เจ้าหน้าที่ทางเชียงใหม่เป็นมิตรและบรรยายากาศผ่อนคลายกว่าที่กรุงเทพ 55.. ฝากนิดหนึ่งเกี่ยวกับรูปถ่ายประกอบ ต้องเป๊ะตามคุณลักษณะและห้ามแต่งภาพ แม้รูปจะเป็นฝ้าหน้าจะมีสิวก็ห้ามแตะ เพราะเครื่องสแกนมันจะไม่ยอมอ่านและต้องเสียเงินเสียเวลาอย่างข้าพเจ้าที่ดันไปลบเม็ดสิวเข้า
เพิ่งรู้ว่าใบเชิญจากเยอรมันนีและประกันการเดินทางสัมพันธ์กับระยะเวลาการพำนักที่สถานทูตอนุมัติวีซ่าโดยตรง การยื่นเอกสารที่บ่งชี้พันธะที่ประเทศไทยก็ทำให้การอนุมัติผ่านมีน้ำหนักเช่นกัน

การบินภายในประเทศด้วยสายการรบินที่เป็นพันธมิตรกับสายการบินอินเตอร์ช่วยประหยัดเวลา ลดความยุ่งยากเรื่องสำภาระและสะดวกสบายในการต่อเครื่องเอามากๆแนะนำค่ะ

อาหารถูกปาก มีหนังถูกใจให้ดู การเดินทางราบเรียบไม่ระทึกกับสภาพอากาศ เครื่องลงที่สนามบินมิวนิกเอาตอนเช้าที่อาคารใหม่ เดินตามก้นแขกอาหรับที่มากันยกครัวเป็นกลุ่มๆ เวลาต่อแถว ตม. เราพยายามแยกตัวออกมาจะได้ไม่รอนาน จริงๆด้านข้างตู้ตม. มีเครื่องตรวจพลาสปอร์ตอัตโนมัติอยากลองใช้ แต่กลัวว่าหากขัดข้องต้องมาต่อคิวยาว ไว้ลองคราวหน้าจะลองดูและมาเล่าให้ฟังค่ะ สิ่งสำคัญที่เราควรติดตัวเป็นแผ่นกระดาษไว้ ตม.มักถามหาคือตั๋วเดินทางแสดงขากลับ เพราะวีซ่าระบุการพำนักค่อนข้างชัดเจน เจ้าหน้าที่จะย้ำในจุดนี้มาก เพราะมีผลกระทบในการขอวีซ่าครั้งถัดไป เสร็จจากตม. ขึ้นขบวนรถไฟใต้ดินเพื่อไปรับกระเป๋าเดินทาง ออกจากตู้รถไฟเป็นทางเดินเพดานใต้ๆ ผนังสีขาวๆสะอาดๆทำให้นึกถึงบางฉากในหนังเอเลี่ยนที่เหล่านักวิทยาศาสตร์เดินไปเดินมา มีกล้องวงจรปิดทุกขณะ กระเป่าเดินทางรับได้ตามสายพานที่ระบุเที่ยวบินชัดเจนหรือหมายตาผู้โดยสารที่เราเห็นบนเครื่องเอาไว้รับรองไม่หลงค่ะ รับกระเป๋าเสร็จแล้วเดินผ่านเจ้าหน้าที่”อย่ายิ้มเด็ดขาด” ไม่งั้นคุณจะโดนเรียก(สุ่ม)ตรวจ เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ที่นี่เป็นเสือยิ้มยาก การยิ้มเป็นเรื่องแปลก

เข้าเมืองด้วยรถไฟ ตั๋วซื้อได้จากตู้อัตตโนมัติ ขั้นตอนมีภาษาอังกฤษชัดเจน ไฮไลท์อยู่ที่ซื้อแพกเก็จสำหรับ ห้าคน มีใครเก้ๆกังๆแถวนั้นก็เรียกมาแชร์เลยคะ ประหยัดโขเลย อ้อตอนขึ้นพยายามนั่งใกล้ๆกันด้วยนะคะ เผื่อมีเจ้าหน้าที่มาตรวจ ชี้โบ้ชี้เบ้ได้ทันไม่ยุ่งยากอธิบาย

 

อุทธยานธรณีผาชัน สามพันโบก อุบลราชธานี Phachan Samphanbok Geopark, Ubon Rachathani

เสาเฉลียงยักษ์ Giant Rock Pillar

อาหารจานใหญ่มื้อเที่ยงที่ร้านหาดสลึง ยังทำเราอิ่ม เมื่อคืนเราเลยไม่กินอะไรมากไปกว่าเบียร์คนละสองขวด หนังควายจี่ และบทสนทนาดีๆระหว่าเรากับแฟน บนระเบียงใต้แสงจันทร์อันเงียบสงบของปลายฟ้ารีสอร์ท เช้านี้ตื่นมาเสร็จธุระและทำการเช็คเอ้าท์แล้ว เราจับถนนสายเดิมมุ่งหน้าไปอุทธยานผาแต้ม ถนนเส้นนี้เพิ่งทำการลาดยางมะตอยใหม่ยังไม่ตีเส้น เป็นถนนสองเลนส์ ขับสบายข้างทางยังเป็นป่าเขาดอกไม้ป่าออกดอกสวยงามแสงแดดต้องใบไม้สีเขียวอ่อนและสีแดงส้มของบางชนิด ขับมาเรื่อยเราเห็นป้าย”เสาเฉลียง” ตามข้อมูลที่เตรียมาทำให้งงว่าผาแต้มใกล้กว่าที่เราคิด หรือว่ามันคนละที่กัน พร้อมกับตั้งคำถามว่า อะไรคือเสาเฉลียง

อุทธยานธรณีผาชัน สามพันโบกกินเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก บางช่วงเป็นหินก้อนใหญ่ตั้งกระหง่านนักธรณีวิทยาเรียก “เสาเฉลียง” คือปฏิมากรรมเสาหินธรรมชาติลักษณะคล้ายดอกเห็ดเกิดการผุพังอยู่กับที่และการกัดกร่อนของหินทรายอายุกว่า 100 ล้านปี กระจัดกระจายเต็มไปหมด อุทยานฯได้นับเสาเฉลียงน้อยใหญ่ที่สวยงามกว่าสิบเสา ทางเข้าเสาเฉลลียงยักษ์ Giant Rock Pillars

เราแวะที่สำนักงานเพื่อขอข้อมูล มีเจ้าหน้าที่ดูและเป็นมิตรมาก มีห้องน้ำสะอาด ที่มีลานกิจกรรม ถนนเข้าไปเสาเฉลียงยักษ์ที่เป็นจุดเด่นของยุทยาน(เมษายน 2560 ยังเข้าฟรี)จากสำนักงานประมาณสองกิโลเมตรเป็นทางลูกรัง ไม่แน่ใจน่าฝนเดินทางสะดวกใหมแต่หน้าแล้งมีฝุ่นบ้าง รถโคลงเคลงจากพื้นต่างระดับ ทุ่งโล่งเตียนมีร่องรอยคล้ายที่จอดรถหลายจุด เราจอดรถแล้วเดินชื่นชมความงามของธรรมชาติประมาณ 500 เมตร แม้แดดจะร้อนเปรี้ยงเสียงจักจั่นเรไรกึกก้อง และเช่นเดิมดอกไม้ป่าสวยงาม และแล้วเสาเฉลียงตรงหน้าทำเอาเราทึ่งในความงามสง่า สูงตระหง่านช่างอัศจรรย์จริงๆคะ  มีลำน้ำเล็กน้ำไสแจ่วมากเช่นกัน ชื่นชมเจ้าหน้าที่ติดตั้งป้ายบอกข้อมูลอย่างดีให้หายสงสัยถึงความเป็นมาของเสาเฉลียง

สามพันโบก(ตอน2) อุบลราชธานี

จริงๆบริเวณที่เรียกว่าสามพันโบก จะอยู่ตอนกลางของเส้นทางท่องเที่ยวที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 30 ตารางกิโลเมตรจากเหนือจรดใต้ ตามแนวไหลผ่านของแม่น้ำโขง เราอยากจะแนะนำว่าหากมาแล้ว เพื่อซึมซาบกับภูมิประเทศอันสวยงามและเห็นวิถีชีวิตการจับปลาของขาวบ้านแถบนี้ อยากให้ขับรถมาจอดและขึ้น-ลงเรือที่หาดสลึงค่ะ  แต่ถ้าอยากจะดูแค่ลานหลุมบ่อก็แวะมาที่แก่งสามพันโบกได้เลย มีลานจอดรถและร้านอาหาร ร้านค้าสวัสดิการต่างๆแล้วจะเดินลงมาหรือนั่งวินมอร์เตอร์ไซด์ลงมาที่ลานโบก ส่วนตัวที่คิดว่าช่วงเวลาไม่ร้อนมากอย่างตอนเช้าและช่วงบ่ายแก่ๆเหมาะมาเที่ยวคะ

เราลงเรือที่หาดสลึง ค่าบริการเป็นธรรมและแจ้งไว้ที่กระดานชัดเจน เหมาลำ 1,000 บาทและจะมีพี่มัคคุเทศน์ลงเรือมาด้วยเป็นลูกมือคนขับและมาค่อยอธิบาย พูดคุยได้ความรู้ แม้จะฟังภาษาอีสานออกบ้าง เอออออไปตามเรื่องบ้าง ไม่มีราคาตายตัวสำหรับพี่เขาแนะนำตามแต่สินน้ำใจคะ เรามาต้นเดือนเมษายนปีนี้น้ำเยอะเนื่องจากจีนกำลังสร้างเขื่อนทำให้หาดสลึงจมน้ำ เรือเราขับทวนน้ำขึ้นมาที่ ปากบ้องเขตหมู่บ้านสองคอน พี่มัคคุเทศนืยังบอกว่าน้ำสูงตลิ่งที่เคยเห็นตระหง่ายเป็นสิบเมตรจึงเหลือประมาณครึ่ง  “ปากบ้อง” ตรงนี้เป็นจุดที่แม่น้ำโขง  แคบที่สุด   เป็นหน้าผาหินที่เกิดจากรอยแยกตัวของแผ่นหินทรายลักษณะเหมือนคอขวด  ส่วนที่แคบที่สุดวัดได้ประมาณ 56 เมตร

ถัดขึ้นมาอีกหน่อยเป็น หินหัวพะเนียง บริเวณนี้ เป็นเกาะหินขนาดใหญ่แยกแม่โขงออกเป็นสองสาย พี่มัคคุเทศน์บอกว่าเกาะนี้ฝรั่งเศษระบุในแผนที่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศลาว ทวงไม่ได้หรอกทั้งๆที่ควรเป็นส่วนกลาง  มองข้ามไปฝั่งลาวยังเป็นป่ารกชักและมีหาดทรายเล็กๆสวยงามมาก เราวกกลับลงมาผ่านลุ่มน้ำวนขนาดใหญ่มากและน่ากลัวมากยังไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายใหนเข้ามาสำรวจได้ แต่ตามความเชื่อที่เล่าต่อกันมาบอกว่าเป็นสถานที่ลึกลับและศักสิทธิ์ต้องห้าม คนพื้นเมืองเขาถือกัน ฉันคิดว่าเป็นบริเวณเหมือนสามเหลี่ยมเบอมิวด้าน่ะนะ  สองฝากของแม่โขงชาวบ้านจับปลาแบบใช้ยอ ดังนี้ปลาที่นี่รับรองปลาสดปลาเป็นอร่อยจริงและมีเฉพาะตัวโตๆ ฉันเห็นเขายกยอขึ้นมาเลือกและโยนปลาตัวเล็กตัวน้อยกลับคืนแม่โขงด้วย 

เขาผ่านสามพันโพกลงไปที่แก่งหินสีเพราะพระอาทิตย์กำลังตกดิน เป้นลานหินเวลาแสงกระทบหินสีจึงแลดูสวยงามงามบริเวณนี้เห็นหินอัคนี หินภูเขาไฟกระจัดกระจายกินบริเวณกว้างมากยังกับเดินอยู่นอกโลก ดีที่มีพี่มัคคุเทศน์มาด้วยบอกว่าควรเดินไปจุดใหนและดูอะไร ไม่งั้นคงหลงเพราะลานกว้างสุดลูกหูลูกตาทีเดียว สีดำๆทมึน มีพืชและต้นไม้บางชนิดลักษณะการเติบโตเป็นบอนไซ หากหินแตกเนื้อในหินบางก้อนเป็นสีดำนิล สีทองแดง กระทบแสงสวยมากมาย ส่วนดำๆกระทบแสงจะระยิระยับเช่นกัน และเหมือนโชคเข้าข้าง แดดมาให้เราเห็นแค่ห้านาทีก่อนลับขี้เมฆยามเย็น

หาดหงษ์ Sand dune

เราลงเรือขับทวนน้ำขึ้นมาที่หาดหงษ์ เป็นตลิ่งสันทรายสูงขึ้นมาขาวนวลนุ่มเท้า เดินขึ้นถึงสันทรายนี่เล่นเอาหอบเชียวคะ อีกฝั่งทางลาวก็มีเป็นหาดเล็กๆกระจัดกระจายน่านอนอาบแดดเช่นกัน แต่เรือฝั่งเราจะไปจอดหรือเทียบท่านี่ไม่ได้นะ จริงๆชาวบ้านเขารับรู้กันถึงแม้จะมีบ้างที่ไปยกยอริมตลิ่งฝั่งโน้น แต่หากไปจอดเรือหรือขึ้นฝั่งที่มีนักท่องเที่ยวก็จะมีทหารมาเลย คิดว่าหากลาวเปิดบริเวณนี้ เราต้องสูญเสียรายได้ท่องเที่ยวไปเยอะทีเดียวเพราะจากสภาพแล้ว สถานที่บริสุทธ์มาก

และจุดจอดเรือสุดท้ายคือแก่งสามพันโบก  พระอาทิตย์ตกดินพอดี บริเวณนี้หินจะเป็นหินทรายและคนละประเภทกับแก่งหินสีโทนสีก็ต่างกัน แก่งสามพันโบกออกสีชมพู สีโอรส สีครีมหวานโรแมนติกมาก อย่างที่บอกไว้ว่าปรากฎการน้ำวนธรรมชาติขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง กัดเซาะหินทรายในช่วงหน้าน้ำ และพอน้ำลดเราจึงเห็นทั้งเป็นโขดแนวหินตั้งตระงานแบบ แคนยอน และเป็นลานหลุม และบ่อที่มีน้ำขังจากน้ำใต้พื้นดินเป็นส่วนหนึ่งอันมหัศจรรย์ของแม่น้ำอันยิ่งใหญ่ของโลกสายนี้ที่เรียกว่า .”แม่โขง”

สามพันโบก (ตอน1) จังหวัดอุบลราชธานี Sampan Borg#1, Ubonrachathani

การเช่ารถขับเที่ยวเองมีข้อดีหลายหลาย เช่นการที่เราบริหารจัดการกับเวลาและเส้นทางเองได้ อย่างอิสระ การเลือกถนนสายรองจราจรไม่คับคั่งทำให้เพลิดเพลินกับวิวสองข้างทางมาก ดอกไม้ป่าออกดอกสวยงามร่มรื่น ท้องฟ้าสว่าง ขี้เมฆขาวสะอาดและรู้สึกถึงความโรแมนติก รู้สึกชื่นใจเมืองไทยสวย คิดว่าหากมาฤดูกาลหน้าถนนทั้งสายก็น่าตื่นตาและแปลเปลี่ยนไปอีกแบบแน่ๆ เส้นทางใหม่ๆจากสายหลักแฟนเราก็ตื่นเต้นเพราะเธอเป็นอาสาสมัครสำรวจและจัดทำ Open Street Map.Org/Thailand การมีเพื่อนร่วมทางที่ดีก็ช่วยให้การเดินทางราบรื่นและเป็นสุขมาก ฉันเป็นคนขับแฟนช่วยเรื่องข้อมูลและเทคโนโลยีเป็นประโยชน์สูงสุด ปลายทางสำหรับวันนี้คือ สามพันโบกจังหวัดอุบลราชธานี เราออกเดินทางใช้เส้นขนานแม่น้ำโขง เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับชาวมุกดาหารและนักปั่นจริงๆจากตัวเมืองมุกดาหารมีเส้นทางจักรยานมีเกาะกลางแยกจากถนนใหญ่ ไร้กังวลเรื่องรถเชี่ยวชนขนานตลอดแนวยาวเป็นสิบกิโลเมตรจนถึงอุทยานด้วย

PlaiFarh Resort

เรามาถึงปลายฟ้า รีสอร์ท ตำบลสองคอนเอาตอนบ่ายๆ เราเช่าบังกะโลแยกเป็นหลังๆสะอากโอเคใช้ได้ แต่ชักโครกกดทีเสียงวี้ดวิ้วน่าตกใจ เราหิวจัดสอบถามกับเจ้าของรีสอร์เธอบอกว่านอกจากเพิงข้างทางแล้วก็ไม่มีร้านอะไรเลย เราจึงขับเข้าหมู่บ้านเพื่อมาลงเรือที่หาดสลึง เห็นป้ายสามสี่ร้านแต่เราเลือกมาร้านตามชื่อหาด มีที่จอดรถร้านหน้าตาเหมือนร้านอาหารตามสั่งทั่วไป ข้างๆเป็นร้านร้านคาราโอเกะของลูกสาว ทิวทัศน์แม่โขงสวยมากลมเย็นด้วย เราสั่งปลาคังผัดเผ็ด หมูกระะเทียมและไข่เจียวพร้อมข้าวสวยสองจาน แม่ครัวถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่าแฟนเรา”กินเป็นใหม” หมายถึงจะกินอาหารไทยได้ไหม อาหารอร่อยและถ้ารู้ว่าจานใหญ่มากจานเดียวก็อิ่มทั้งคู่ เหลือไว้หนึ่งจานก่อนลงเรือคุณพ่อเจ้าของร้านบอกว่าขากลับให้มาแวะมารับที่เหลือข้าวจะอุ่นร้อนๆไว้รอ

ปลาคังผัดเผ็ด

ท่าเรือหาดสลึงชาวบ้านปากกะหลางรวมตัวกันเป็นสหกรณ์บริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ราคาเช่าเรือเป็นธรรม (1,000 บาท/ลำ)แสดงราคาและกฎปฏิบัติอย่างชัดเจน ปีนี้มีการสร้างเขื่อนปล่อยน้ำลงมาเยอะ เนินทรายของหาดสลึงหายไป มีน้ำท่วมตลิ่งสูงด้วย และยังมีผลกระทบด้านนิเวศน์วิทยาและการดำเนินถีชีวิตอื่นๆของชาวบ้านเปลี่ยนไปด้วย เรามีพี่ไกด์ที่มีประสบการณ์มาคอยเล่าโน้นนี่ให้ฟังเป็นภาษาอีสาน งงบ้างจับใจความได้บ้าง กลับที่พักตอนเย็นยังอิ่มเราเลยนั่งดื่มเบียร์ที่ระเบียงชมดาว มีกลิ่นควันหอมๆฉุนๆฟุ้งมาจากครัว ถามได้ความและได้ติดมือมากินแกล้มเบียร์เป็น หนังควายจี่ อืม!!! แกงกับขี้เหล็กอร่อยและเคี้ยวง่ายกว่าเป็นร้อยเท่า  มีต่อตอนสองคะ…

ชาวบ้านจี่หนังควายและห่อหมกให้เราแกล้มเบียร์

Ploy Palace and Indochina Market, มุกดาหาร

Rooftop Swimming Pool,Ploy Palace

เนื่องจากต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อจับเครื่องบินเที่ยวแรกจากเชียงใหม่มา อุดรธานี แล้วต่อด้วยขับรถทางไกลอีกสามร้อยกว่ากิโลเมตรมายังจังหวัดมุกดาหาร สิ่งสำคัญที่เราขอแฟนคือที่พักดีๆ เตียงนุ่มๆ แฟนเป็นนัก search engine ตัวยงแล้วเธอยังพิถีพิถันมากด้วย เธอจะลิสรายชื่อที่พักและข้อมูลให้เราเลือกเพื่อลดทอนลงมา จากนั้นเธอก็จะเจาะลึกในคอมเม้นท์จากเว็ปโน้นเพจนี้ก่อนที่จะจองผ่านเอเจนท์อีกที  “พลอย พาเลซ” เป็นตัวเลือกที่ดีมากเป็นโรงแรมห้าดาวระดับจังหวัด นอกจากสาธารณูปโภคครบครันแล้วเรื่องการบริการยังดีเยี่ยมมาตรฐานสากล บริการให้เรารู้สึกชื่นมื่นใจนี่คือข้อแตกต่างเพราะการที่เรามองหา โรงแรมทุกแห่งเกรดเหมือนหรือคล้ายกันกันในสิ่งอำนวยความสะดวกแต่หากพนักงานไม่ผ่านการฝึกอบรมที่ดี ไม่ว่าโรงแรมจะจ้างช่างภาพ กราฟฟิกหรือ นักการตลาดมือฉมังเพื่อสื่อทางออนไลน์ก็ตามทีคงไม่ช่วยได้มากในระยะยาว  ห้องสวยเราเลือกวิวแม่โขงที่สามารถเห็นประเทศลาว แต่ตอนเช้าแดดร้อนเปิดม่านไม่ได้เลย อาหารเช้าเป็นอินเตอร์ฯบุฟเฟ่ มีแม่ครัวมาทำเบื้องญวนสดๆด้วยและที่ประทับใจคือเขาเก็บดอกไม้สดๆในสวนมาประดับประดาน่ารักๆแถวโต๊ะบุฟเฟ่ด้วย หรืออย่างมีบทกลอนเล็กๆวางไว้บนหมอนหนุน(เสื่อถึงความเชื่อทางอีสานรับขวัญแขกมาค้างบ้าน)อวยพรให้นอนหลับฝันดี เห็นถึงความใส่ใจ เมตตาและอ่อนโยน น่ารักจริงๆ

แหนมเนืองจากร้าน มิสไซง่อน

ใกล้ๆโรงแรมเราออกมาเดินเล่นตลาดถนนคนเดินกลางคืนที่เปิดตั้งแต่ 4 โมงเย็น 2ทุ่ม จันทร์ ถึงศุกร์ เป็นตลาดเย็นที่ปิดเร็วมากสองทุ่มนี่แม่ค้าเก็บของกลับกันเกือบหมด ตลาดมีสองโซนคืออาหารพร้อมเดินกินเช่นปิ้ง ย่าง ข้าวห่อ ส้มตำ ฯลฯ หัตกรรมของฝากเล็กๆน้อยๆ เสื้อผ้า และส่วนที่สองคือกับข้าวใส่ถุงกลับบ้าน ไม่ได้มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งกินอย่างที่เชียงใหม่ เราเลยต้องเดินหาร้านอาหาร มาเจอร้านอาหารเวียดนามชื่อ “มิสไซง่อน” (สังเกตุว่าแถวอีสานอิทธิพลอาหารเวียดนามนี่มากโข) ร้านห้องแถวสองคูหา สะอาดสะอ้าน คงเพราะมุกดาหารเมืองเล็กไม่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน คงมีแต่คนท้องถิ่น ทั้งร้านจึงมีแต่เจ้าของร้านนั่งกินข้าวและดูทีวีอยู่ ตอนเดินเข้าไปต้องถามว่ายังเปิดอยู่ใหม (สองทุ่มกว่าๆเอง) เราสั่งมาสองสามอย่างอร่อยมาก หนึ่งจานที่ไม่พลาดคือแหนมเนืองที่ประทับใจคือเครื่องเช่น กล้วยดิบ มะนาว พริก กระเที่ยมฯ เขาหั่นสดๆ(ร้านส่วนมากหั่นเตรียมไว้)รสชาติหวานอร่อยมากจริงๆคะ

Khong River

ตอนเช้าเราเดินสำรวจตลาดอินโดจีนที่ห่างจากโรงแรมประมาณหนึ่งกิโลเมตร เป็นตลาดขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภคธรรมดา คาดว่านำเข้าจากจีน สินค้าไม่ได้ดึงดูดความสนใจให้เราซื้อ จะมีก็สีสันสดไสและรูปแบบชีวิตให้เราถ่ายรูป ศาลาริมโขงเป็นวิวที่สวยลมเย็นๆ ด้านล่างเป็นร้านค้าปลีกในร่ม เดินสบายมีสินค้าให้เลือกมากมายเช่นกันคะ  เราติดใจตะกร้าพลาสติกสาน ที่เจ้าของร้านนั่งสานเองระหว่างรอลูกค้า ร้านขายสมุนไพรสดและแห้ง ร้านขายผ้าลายพื้นเมือง(แต่ร้านส่วนใหญ่ขายผ้าพิมพ์ลายไม่ใช่ผ้าทอ) ที่ชอบอีกอย่างคือคนที่นี่ไม่คะยั้นคะยอแดกดันขายของอย่างตลาดอื่นๆ อื้อ! เจอ Tattoo Sticker  ด้วยอ่ะ สมใจคนอยากมีลายสักเช่นเรา

Handmade plastic weaving basket