เกียวโตสามารถมาเที่ยวในแบบเนิบช้าได้อย่างสบายค่ะ บ้านเรือนสะอาด เงียบสงบ วิถีคนเกียวโตน่ารัก อากาศดีและรู้สึกปลอดภัยเอามากๆไม่ว่าจะเดินหรือปั่นจักรยาน หลังอาหารเช้าเราเดินออกมานิดเดียวก็เจอวัดฮิกานชิ-ฮอนกาน-จิ
รั้วกำแพงวัดสีออกเทาม่วงๆ มีต้นสน ดัดและตกแต่งเรียบร้อย มีคลองน้ำใสแลเย็นเห็นตัวปลา ว่ายวนไปมาน่าอภิรมย์ กั้นระหว่างทางเท้ากับเขตของวัด หน้าร้อนปีนี้มีการปรับปรุงวัดขนานใหญ่เราเลยต้องเดินอ้อมไกล เพื่อเข้าประตูใหญ่ คิดว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้เราเห็นการจัดสวนนอกวัด และสิ่งประดับตกแต่งรอบๆวัดค่ะ ภายนอกสวยไม่แพ้ด้านในเลย บึกบึนแต่ความอ่อนช้อยสวยงามในแบบเกียวโตที่สืบทอดมาเป็นพันปี เจือจางกลิ่นอายที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมจีนจากอดีตกาล
วัดนี้คุ้มครองและได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกแห่งของเกียวโต ศาลาการเปรียนหลังใหญ่รูปทรงคล้ายเรือตามหลักแนวคิดพุทธศานา ก่อสร้างโดยโชกุนตระกูล โทกุงาวะเมื่อปี พ.ศ.๒๑๔๖ ผ่านมาเป็นร้อยๆปีความโอ่อ่าใหญ่โตมโหฬารยังดำรงตราบทุกวันนี้
ก่อสร้างด้วยไม้ เสาแต่ละต้นมหึมา ประตูหน้าต่าง บันได ชานระเบียงเป็นไม้ ขณะนี้กำลังประกอบพิธีทางศาสนาเราเลยออกมานั่งกินลม เย็นสบายตรงระเบียง โอ้เงียบสงบชื่นใจเหลือเกิน ก่อนที่กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนจะยกพลขึ้นมา ระหว่างรอความเงียบสงบกลับคืนมา เราเดินไปอีกอาคารชมนิทัศกาลคำคมปรัชญา มีแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย สวยงามทั้งความหมายและลายมือ และถัดอีกห้องเป็นประวัติความเป็นมาของตระกูลโชกุนและการสร้างวัด ช่วงนีที่เรามาเที่ยวญี่ปุ่นเป็นปีรำลึกครบรอบเจ็ดสิบปีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เราเห็นศาลจากท่านเจ้าอาวาสของวัดติดใส่กรอบเป็นสง่าขอขมา ลาโทษเกี่ยวกับอดีตที่เกิดขึ้น อ่านแล้วรู้สุกได้ว่าไม่มีใครต้องการให้สงครามเกิดขึ้น…..
เดินรอบวัดที่ใหญ่โตแต่เรียบง่ายของวัดนี้แล้ว แวะเข้า information Centre เดินดูหนังสือมีแต่ ภาษาญี่ปุ่นทั้งนั้น จึงหยิบกระดาษเกมส์สะสมสแตมป์ฟรีสำหรับเด็กเป็นที่ระลึก เข้าห้องน้ำ เช็คเมล์จากบริการ Kyoto Free WiFi และซื้อโปสต์การ์ด(แพง)เนื่องเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพภายในศาลาได้ ภาพที่เราได้มา พี่ยามคงไม่เห็นตอนเราถ่ายมั้งก่อนเข้าก็ไม่เห็นป้ายห้ามนะ