เดินตลาดโคะคุไซมาเรื่อยๆด้านหลังเป็นหมู่บ้านเก่าแก่คือ หมู่บ้านสึโบะยะที่ชำนาญการทำเครื่องปั้นดินเผาหรือ”ยะจิมุน”ที่คงเอกลักษณ์ของชาวโอกินาว่าไว้อย่างเหนียวแหน่น อาคารพิพิธภัณฑ์สองหลัง ที่หนึ่งเป็นรูปแบบบ้านชาวโอกินาว่าสมัยเก่าสำหรับเป็นร้านขายของที่ระลึก และหลังสองเป็นอาคารสมัยใหม่ออกแบบได้กลมกลืนกับสถานที่มากๆทำเป็นห้องแสดงนิทัศกาลเกี่ยวกับความเป็นมาของที่นี่ เทคโนโลยี่ที่ใช้ทันสมัยเหมาะกับอาคารใหม่ที่บรรจุประวัติศาสตร์ไว้อย่างครบครันค่ะ ค่าธรรมเนียมเข้าชม คนละ 350 เยน พร้อมหูฟังและมีปฎิทินให้หยิบฟรีด้วยคะ เราอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกและไม่มีความจำเป็นได้ใช้เลยไม่หยิบมา ด้านในอนุญาติให้ถ่ายรูปได้แต่ห้ามถ่ายคำบรรยยาเกียวกับของที่ตั้งแสดงไว้ เออแปลกดี อยากถามเหตุผลนะ เราใช้เวลาภายในห้องศิลป์เกือบสองชั่วโมงที่ได้ความรู้มากมายแล้วเดินออกมาตามถนนประวัติศาสตร์ที่ยาวประมาณสี่ร้อยเมตร หมู่บ้านสึโบะยะได้รวบรวมหมู่ช่างหลายแขนงไว้ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นช่างทำหิน ช่างทำกำแพง ช่างทำหลังคาบ้าน ช่างปั้นตัวซีซาสัตว์ประจำเมืองโอกินาว่า ชุมชนที่ลูกหลานแต่ละตระกูลสืบทอดงานช่างมาถึงปัจุบัน สองข้างทางของถนนจึงเป็นร้านค้า หน้าร้านและโรงงาน เตาเผารวมถึงสตูดิโอสอนผู้สนใจด้วยคะ
Category: Asia
Kokusai Market, Okinawa
โคะคุไซเป็นตลาดใหญ่และถนนช้อปปิ้งชื่อดังกลางเมืองนาฮะ ที่เพิ่มสีสันให้ชีวิตทั้งคนพื้นเมืองและนักท่องเที่ยวทั้งกลางวันกลางคืน ขนส่งสาธารณะไปมาสะดวก ถนนโคะคุไซมีทางเท้ากว้างขวางให้เดินเพลินเชียวคะ วันนี้มีแดดโชคดีเราเอาร่มเล็กๆและแว่นกันแดดมาด้วยร้อนจัด เราเลยเดินภายในตลาดแทนคะ คลับคล้ายตลาดวโรรสเชียงใหม่อีกละคือขายทุกอย่าง ของสด ของแห้ง ของใช้ในบ้าน เสื้อผ้า เครื่องไฟฟ้าฯลฯมีร้านค้าปลอดภาษีสำหรับไทยด้วยคะ เราไม่ได้แวะเพราะไม่ได้ซื้ออะไรนอกจากต่างหูมุกหนึ่งคู่ ร้านขายของเก่าสวยๆทั้งนั้น ดูเฉยๆคะ
ของแปลกหูแปลกตาที่เราเห็นคือของแห้งๆแข็งๆดำๆบ้างก็ขดๆบ้างเป็นแท่งๆ มันคืองูทะเลคะสำหรับเพิ่มสมรรถภาพชาย
ในตลาดแบ่งตลาดเป็นส่วนๆโดยใช้หน้ากากละครเป็นตัวแบ่งโซน ไอเดียดีคะถ้าหลงก็แค่เงยหน้าดูรูปเป็นพอ
มีโซนทะเลสดๆที่ซื้อแล้วนำไปประกอบอาหารและกินกันบนชั้นสองคะ และชั้นนี้มีของHandmade ขายเยอะแยะไม่ได้ซื้ออะไรเช่นเคยคะ
Play Ground
ไม่ว่าจะเมืองเล็กเมืองใหญ่ สิ่งที่ต้องบรรจุในผังเมืองคือสวนสาธารณะและสนามเด้กเล่นค่ะ เขาออกแบบให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และคำนึงถีงผู้ใช้ทุกเพศทุกวัยอย่างเหมาะสมคะ อย่างสวนนี้มีเขาเล็กๆให้เด็กได้ปีนป่าย มีเครื่องเล่นต่างๆคงmนแข็งแรง มีป้ายมารยาทการใช้ร่วมกัน สวนนวดเท้าเก๋ๆ น่าจะสำหรับคุณแม่นะคะเครื่องนี้และอาคารห้องน้ำที่ไม่เห็นป้ายจะไม่รู้ว่าเป็นห้องน้ำเลยคะ
Okinawa City Hall on the rainy day
จั๋วหัวแบบนี้ ทำเอางงใช่ใหมค่ะ เราไปเที่ยวที่ศาลากลางในวันฝนตกเนียะนะ คืองี้คะนิสัยของคนญี่ปุ่นที่เราประทับใจอย่างหนึ่งคือ เขารักษาคำพูดและเทคแคร์ดูแลเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นเสมอ แม้วันฝนตกเราไม่อยากออกไปใหนแต่ Host ของเรายังอยากจะพาไปโน้นมานี่เพราะแม้มาเที่ยวหน้าฝนก็ไม่ควรจะยอมรับสภาพหรือยอมแพ้อุปสรรค์ อุตส่าห์ตีตั๋วไปถึงญี่ปุ่นทั้งที ไปพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุดก็ยังดีแฮ่ๆทั้งสองแห่งเขาปิดวันจันทร์ งั้นไปศาลากลางละกัน ไปดูว่าออฟฟิคเขาทำงานกันอย่างไร คร่าวๆที่มองไปก็ธรรมดานั่นแหละคะ แต่ทีแปลกใจคือเค้าเตอร์ต้อนรับดูอลังการมากยังกะโรงแรม พนักงานก็สวยงาม สุภาพมากๆเลยคะ
เราแจ้งว่าขอดูรอบๆไม่ต้องกังวลอะไรเรา เราเดินดูนั่นนี่ และขออนุยาติ Host ถ่ายรูปด้วย ถัดมาดูและหยิบแผ่นพับต่างๆที่แรกมองดูเป็นแผ่นพับการ์ตูนนึกว่าสำหรับเด็ก เพ่งดูใกล้ๆสำหรับผู้ใหญ่คะ ส่วนบอร์ดปิดประกาศรูปภาพกิจกรรมของเทศบาล มีภาพกิจกรรมน่ารักๆอีกเช่นกันคือ สอนผู้ชายทำอาหาร สอนเด็กทำอาหารและปลูกผักเอง น่ารักจริงๆแต่เราสงสัยว่าสังคมญี่ปุ่นเคร่งครัดและขรึมมากแต่ทำมัยเวลาทำสืออะไรออกมาออกจะแนวขี้เล่นการ์ตูนๆ
Okinawa Shurijo Castle Park
สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่ใครมาโอกินาว่าแล้วนึกถึงและต้องไปเยี่ยมชมเป็นอันดับแรกคือ Shirijo Castle หรือปราสาทชูริ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2000 ตั้งในเขตตำบลนาฮะ อย่างที่ทราบแล้วเกาะโอกินาว่าเคยเป็นรัฐเอกราชแห่งอาณาจักริวกิวที่เคยรุ่งเรืองนานนับหลายร้อยปี กระทั่งรวมเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นในปี 1879 ค่ะ
ปราสาทสร้างราวบนสันภูเขาสูง ปลายศรรตวรรษที่14 ด้วยสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลแบบผสมผสานระหว่างจีนและญี่ปุ่น ตัวปราสาทพังตามการเวลาและมีการซ่อมแซม จนสวยอย่างที่เห็นในปัจจุบันคะ ภายในอาคารพร้อมจัดแสดงศิลปะทรงคุณค่าหลายชิ้นงานค่ะ ต้องถอดรองเท้า ไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพในบางห้องมียามคอยบอกอยู่เนื่องๆห้องใหนได้ไม่ได้
Okinawa -Food&Drink
อย่างที่บอกไปนั่นแหละคะว่า โอกินาว่าเป็นเมืองคลับคล้ายคลับคลาบ้านเรามากๆ รวมถึงอาหารเครื่องดื่มที่เขานับเอาเป็นอาหารเด่นประจำเกาะและมักจะพูดจนติดปากว่าเขาเป็นต้นตำหรับเลย เอ้าเริ่มที่
สำหรับคอเหล้า
ว่ากันว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเกาะโอกินาว่ามาเป็นเวลาช้านาน สมัยก่อนช่วงต้นศรรตวรรษที 15-19 อาณาจักรริวกิวเป็นรัฐเอกราชปกครองตนเอง มีการติดต่อค้าขายกับจีนและประเทศในเอเชียอาคเนย์ ส่วนอาณาจักรสยามมีการค้าขายข้าวส่งออกไปยังเกาะริวกิวเพื่อใช้สำหรับกลั่นเป็นเหล้าขาว Awamori เหล้าอะวาโมริต้องหมักจากข้าวไทยเท่านั้นคะมีหลากหลายดีกรีและปัจจุบันเหล้าขาวชนิดนี้เป็นตัวแทนและเป็นหน้าเป็นตาอันขึ้นชื่อและภาคภูมิใจแห่งเมืองโอกินาว่า นำมาใช้ขึ้นโต๊ะต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองด้วยคะ และก็เมื่อดื่มจัดชาวญี่ปุ่นจะมีตัวช่วยระบายท้องคือน้ำขมิ้นค่ะ จะพกมาเองจากบ้านอย่างในรูปนี่หรือที่ร้านเหล้าก็มีขายเป็นขวดชนิดเข้มข้นเล็กๆค่ะ แล้วยังมีเบียร์อีกสารพัดญี่ห้อและเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์เบาๆข้างๆกล่องคล้ายน้ำผลไม้แต่เปล่าคะมีรสยอดนิยมคือพีชและองุ่นค่ะ คนญี่ปุ่นเป็นชาติที่รับผิดชอบและเคารพต่อสังคม มีระเบียบวินัยสูงดื่มเหล้าแล้วนั่งแท็กซี่กลับบ้าน จะไม่ขับรถเองเด็ดขาดคะ
อาหารจานเด็ด
คนโอกินาว่าถือแชมป์อายุยืนยาวที่สุดในญี่ปุ่นและติดอันดับต้นๆของโลก นอกจากเดินลิ่วๆยังกะรีบตามจับอะไรแล้ว เมื่อลองเปิดตู้เย็น Host ของเราดูแล้วเข้าใจเลย เขากินข้าวเช้ากันเป็นจริงเป็นจังมากอาหารหลักเป็นปลา และของทะเล ถั่วเน่า โยเกิร์ตถั่ว ผักตามฤดูกาลและผลไม้สดๆ หมี่ทำเอง เต้าหู้ทำเอง อาหารจำพวกหมูไก่ฮอล์โมน นี่ไม่ค่อยมี
มะระผัดไข่เต้าหู้หน้าตาคล้ายบ้านเราต่างกันแค่รอยหยักที่ถื่กว่าบ้านเราปลูกและโตในช่วงหน้าร้อน เป็นอาหารธาตุเย็นทำเมนูอร่อยแบบบ้านๆที่นิยมชมชอบกันส่วนมากนำมาผัดกับไข่และเต้าหู้คะ ของโปรดเราเช่นกันเมนูนี้มีชื่อเรียกว่าโกยะจัมปุรุ
สาหร่ายสดเป็นพวงเล็กๆเม็ดกระจิ่วคล้ายพวงองุ่นที่มีเฉพาะหมู่เกาะโอกินาว่าเท่านั้นและหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปคะ สาหร่ายอุมิบุโด กรุบกรอบ เค็มๆ นำมาล้างผ่านน้ำก็อกแล้วจิ้มกะน้ำส้ม Vinegar ที่มากับกล่อง หรือนำมาเป็นส่วนผสมในจานสลัดก็อร่อยทุกเมนูคะ
มีจานหนึ่งไปอ่านเจอและไปชิมมาแล้วออกจะแปลกใจค่ะ หน้าตาคล้ายหมูค่องบ้านเราเขาเรียก เทบิจิ ที่แปลกใจคือมันเป็นหมูสามชั้นแบบพะโล้ไม่นึกว่าคนญี่ปุ่นจะกินกัน ส่วนที่มานั่นไม่แปลกคะวัฒนธรรมหลายอย่างรับอิทธิพลจากจีน
ค่าแรงงานที่ญี่ปุ่นพอๆกับประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้งานเล็กๆน้อยๆเช่นร้านขายของชำนี่จึงแทบจะเห็น ยกเว้นร้านที่เป็นแฟนซายสะดวกซื้ออย่าง Lawson และ 7-11 ดังนั้นของเล็กๆน้อยๆอย่างเครื่องดื่มดับกระหายจึงเป็นตู้กดแบบอัตโตมัติ กดเองบริการเองง่ายๆราคาประหยัดตั้งเกลื่อนเมืองค่ะ ราคาไม่มาตรฐานกันทุกตู้นะคะต่างกันนิดหน่อยตามสถานที่ตั้งค่ะ
Okinawa-Thailand the twin City
ถ้าไม่รวมเอาพายุใต้ฝุ่น โอกินาว่าเป็นเมืองที่คลับคล้ายประเทศไทยมาก อากาศร้อนเหมือนกัน พันธ์ไม้ที่ปลูกๆได้คล้ายกับเมืองไทย มะละกอ ต้นไผ่ ต้นนุ่น ต้นหางนกยูงเทศ ผักและดอกไม้ต่างๆดอกชบาที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเราก็เห็นเกลื่อนที่เมืองไทย ที่ต่างจากเมืองไทยหน่อยก็ตรงรูปทรางของต้นไม้ที่ต้องตัดแต่งกิ่งให้เรีบยร้อย บางต้นดูเหมือนผักบล็อกโคลี่ค่ะ เหตุผลที่ต้องตัดต้องเล็มดูเป็นศิลปะแห่งบอนไซก็ไม่มีอะไรนอกจาก พายุใต้ฝุ่นค่ะ
ในสมัยทีโชกน-โตกุงาว่า เรืองอำนาจใช้นโยบายปิดประเทศเป็นเวลากว่า 80 ปีไม่อนุญาติให้คนในออกและคนนอกเข้า ยกเว้นชาวดัตส์แล้วก็เห็นจะมีเฉพาะชาวเกาะโอกินาว่านี่เหละสามรถเล็ดลอดกฎนี้ จริงๆชาวโอกินาว่าก็มีศิลปะวัฒนธรรมเป็นของตนเองต่างจากญี่ปุ่นส่วนอื่นไอยู่แล้ว ทำให้คนโอกินาว่าดูอินเตอร์กว่าชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ชาวญี่ปุ่นรุ่นเก่าๆบางท่านยังไม่นับญาติว่าชาวโอกินาว่าเป็นคนญี่ปุ่นก็มี ด้วยลักษณะรูปพรรณสีผิวที่คล้ำ ร่างเล็กบึกๆ อุปนิสัยใจคอคนที่นี่ต่างจากชนญี่ปุ่นทั่วไป แถมสภาพภูมิแปรเปลี่ยนฤดูเร็วกว่าที่อื่นด้วย ตอนที่เรามาคือ กลางมิถุนา ต้นกรกฎาคมอากาศเดียวกะเมืองไทยเลยค่ะ
เรารู้สึกว่าคนโอกินว่าจึงค่อนข้างเป็นมิตรและต้อนรับคนนอกได้ดีว่าคนเกียวโตนะ เพื่อนชาวญี่ปุ่นของเราบอกว่าคนญี่ปุ่นเวลามาโอกินาว่าถึงกับอุทานว่าเหมือนออกไปต่างประเทศซะด้วยซ้ำ
เกาะโอกินนาว่าใกล้กับใต้หวัน จีนและเกาหลี จึงรับเอาวัฒนธรรมทั้งอาหารการกินและสถาปัตยกรรมที่ไหลมาและยังคงเป็นร่องรอยได้ชัดเจนอย่างยากที่จะแยกออกจากการมองแบบผิวเผิน เช่นเจ้าสัตว์ในตำนานอย่าง ตัวซีซ่า สัตว์สัญลักษณ์ของโอกินาว่า หน้าตาออกสิงโตจีนผสมลูกครึ่งหมาด้วย มักจะอยู่เป็นคู่ว่ากันว่าตัวที่อ้าปากเป็นสัญลักษณ์ปกป้องคุ้มครองไล่สิ่งชัวร้าไม่ให้กล้ำกลายเข้าเคหะสถาน ส่วนอีกตัวคือปิดปากเก็บงำความดีไว้ เราจึงเห็นเจ้าสองตังนี้หน้าประตูบ้านหรือไม่ก็บนหลังคาบ้านเรือนและอาคารแทบทุกหลังค่ะ
Okinawa City
First impression ตลอดเส้นทางจากสนามบินเข้าเมืองอูราซอยที่เราพัก คือตกใจบ้านเมืองตึกรามบ้านช่องกังกะหนังย้อนยุค ไปช่วง 50-60 หรือ industrial art ประมาณนั้น บ้านอาคารแต่ละหลังสร้างกันแบบ บึกบึนแน่นหนาเป็นบล๊อก แถมยังไม่ค่อยจะทาสีหรือสีที่ทาก็ออกอ่อนด้วย การตกแต่งดูเหมือนมีเท่าที่จำเป็น ทำให้หวนคิดว่าบ้านเรือนเมืองไทยดูน่อมแน้ม ความโอ๋อ่าแบบยุโรปดูฟุ่มเฟือยเกินไปรึเปล่า มาเข้าใจภายหลังจากนั้นสองสามวันถึงสาเหตุ ภูมิอากาศเป็นประเด็นหลักสำหรับการสร้างอาคารที่นี่ คือโดนพายุใต้ฝุ่นถล่มปีละห้าหกลูก มาทุกปี หากสร้างแบบไทยนี่วันๆคงไม่ต้องทำอะไรกันแล้วค่ะ ความบึกบึน แกร็งของอาคารจึงจำเป็นอย่างยิ่ง แต่แหมน่าจะออกแบบสไตล์อื่นบ้าง ทาสีบ้างเน๊อะจะได้ดูเป็นมิตรขึ้นมาบ้างค่ะ
Japan Trip- Naha Airport, Okinawa
สนามบินนาฮะหรือ นะฮ่า(ถ้าออกสำเนียงแบบกระเทยจะเรียกชื่อและพูดได้คล่องปากกว่า) ที่เป็นเมืองหลวงของหมู่เกาะ(อำเภอ)โอกินนาว่า ลงเครื่องแล้วเเข้าตัวเมืองโดยรถไฟ ลอยฟ้า mono Rail หรือนั่งแท็กซี่ได้ค่ะ เราสบายหน่อยเพื่อนมารับด้วยรถยนต์ส่วนตัวค่ะ
พูดถึงแท็กซี่ของที่นีสีสันสดใสมาก แต่รูปทรงของรถออกจะดูโบร่ำโบราณอยู่นิดหนึ่งค่ะ แต่ถ้านั่งแล้วสบายนี่ไม่ว่ากัน
ที่สนาบินญี่ปุ่นนี่แปลกกว่าในยุโรปและแน่นอนแปลกกว่าที่เมืองไทยด้วย เปรียบกับยุโรปล่ะกันเขาแยกคิวเป็นช่องๆสำหรับผู้โดยสารที่มากับเด็กเล็กหรือผู้ต้องได้รับการช่วยเหลือพิเศษต้องได้ผ่านตม.ก่อน แต่ที่โอกินาว่านี่ไม่ คือใช้นโยบาย First come, First serve จริงๆแปลกดี มีเรื่องดีที่ประหยัดทั้งเงินและเวลาสำหรับนักท่องเที่ยวไทยเข้าประเทศญี่ปุ่นไม่ต้องขอวีซ่าอยู่ได้ 14 วันค่ะ
Japan Trip -CNX-BKK-HongKong-Okinawa
Okinawa
โอกิน่าว่าหรือหมูเกาะริวกิวยังมีเกาะน้อยใหญ่กระจัดกระจายในน่านทะเลจีนอีกเป็นร้อยกว่าเกาะคะ โอกินาว่าใหญ่สุด จึงเป็นเมืองเป้าหมายแรกที่เราต้องการร่อนลงค่ะ เรานั่งเคื่องจากกรุงเทพด้วย สายการบินฮ่องกงเอ็กซ์เพรส มาพักต่อเครื่งเครื่องที่ฮ่องกง ไปลงที่สนามบินนาฮะ ซึ่งเมืองนาฮะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะโอกินาว่าและเป็นเมืองหลวงของเกาะนี้อีกทีด้วยคะ
ตอนพักเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกงมีเกร็ดเล็กๆเล่าใหฟัง กรณีของเราที่เบี้ยน้อยหอยน้อยมีทุนจำกัดดังนั้เราเลยไม่ได้แลกเงินตราของประเทศที่เราแวะพักต่อเครื่องและมันก็ไม่ไดนานอะไร คงพอทน ถ้าหิวข้าวหิวกาแฟนี่ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดหิวน้ำขึ้นมาจึงมีข้อแนะนำคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีคือ นำขวดเปล่าเล็กๆติดตัวไปด้วยพร้อมขนมด้วยยิ่งดีคะ บนเครื่องเขาเสริฟอาหารแบบไม่อิ่ม ที่สนามบินฮ่องกงมีมุม self catering คือมีเครื่องทำน้ำร้อน และมีตู้น้ำเย็นให้กดกินฟรีๆได้ค่ะ ถ้ามีขวดหรือภาชนะรองมันจะสะดวกกว่ากดให้น้ำพุ่งเข้าจมูกสำรักน่ะคะ อิอิ มีประสบการณ์ค่ะ ถึงเล่าได้เป็นฉากๆ นอกจากนั้นยังมีสัญญาณ wi-fi ฟรี แต่ต้องยอมรับเงื่อนเขาที่ส่งเป็นข้อความมานะคะ จะอ่านก่อนหรือไม่ก็แล้วแต่คะ ตัวเรากดยอมรับไปเลย ภายในเกทสัญญาณจะดีกว่าห้องโถงใหญ่ที่สัญญาณขาดๆหายๆเพราะคนใช้เยอะ มีเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ใช้ฟรีด้วยนะคะ ที่เสียบปลั๊กชาร์ตแบตด้วยคะ แต่ที่เสียบออกจะต่างจากเมืองไทยนิดนึ่งค่ะ ถ้าเอาสายแบบสายยูเอสบีจะเสียบสะดวกกว่า
รู้สึกว่าสมัยหลังๆมานี่อาคารสนาบินที่สร้างใหม่มักจะมีอแบบทรงเดียวกันหมดเลยคือเหมือนโรงเก็บเครื่องบินสมัยเก่าอ่ะคะ ไม่ดูเหมือนเป็นอาคารอย่างดอนเมือง